Overlord Volumn7 Chapter2 Part4
ณ มหาสุสานที่ตั้งอยู่ใจกลางของซากโบราณสถานนั้น เต็มไปด้วยรูปปั้นนักรบขนาดยักษ์ที่ดูเหมือนสามารถจะมีชีวิตขึ้นมาได้ทุก เมื่อ พวกมันรายล้อมมหาสุสานราวกับอัศวินที่ทำการปกป้องราชา เฮกเครันซ่อนตัวอยู่ที่เท้าของรูปปั้นนักรบขณะที่มองไปทางหนึ่งในที่เก็บศพ ที่เล็กกว่า
หลังจากผ่านไปซักพัก เฮกเครันก็มองเห็นผู้ชาย5คนวิ่งออกมาจากที่เก็บศพ พวกเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วพร้อมกับพยายามซ่อนตัวเองไปด้วย เฮกเครันมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวงเพราะอาจมีคนที่กำลังเฝ้ามองพวกเขาอยู่หรือ อาจจะมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น ในที่สุด หลังจากยืนยันว่าพวกเขาปลอดภัย เฮกเครันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาให้สัญญาณจากเท้าของรูปปั้นยักษ์และกรีนแฮมก็พุ่งเข้ามาทันทีหลังจากที่ เห็น
“นายมาช้านะกรีนแฮม”
“ขอบคุณที่อุตส่าห์รอพวกเรานะ”
“เราไม่ได้ตกลงเรื่องเวลาเพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก เอาหล่ะ เปลี่ยนที่คุยกันเถอะ แล้วค่อยว่ากันว่าจะเอายังไงต่อ”
เฮกเครันย่อตัวลงแล้วออกเดินนำไป พอผ่านไปไม่กี่ก้าว กรีนแฮมก็ถามขึ้นมา
“ถามนิดนะ พวกนายเจอสมบัติหรือเปล่า”
เฮกเครันยิ้มด้วยความตื่นเต้นเพราะยังจำความรู้สึกได้แล้วพูดต่อ
“แน่นอน เจอเพียบเลย ผู้เฒ่าก็บอกเหมือนกัน”
“ทุกคนเลยเหรอ แสดงว่ามาที่สุสานนี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกสินะ”
“นั่นก็จริง ชั้นรู้สึกขอบคุณท่านๆที่ถูกฝังที่นี่เลยแหละ”
“อืมมม นั่นก็ใช่ แต่ในเมื่อเราเจอสมบัติตั้งเยอะแล้ว มันคงมีความเป็นไปได้ที่ว่าจะไม่เจออะไรเลยในสุสานหลักใช่มั้ย”
“แต่ชั้นเดาว่ามันน่าจะมีมากกว่านี้นะ”
“หืมมม อยากจะพนันกันหน่อยมั้ย”
“เยี่ยม งั้นชั้นจะหาเพิ่มแล้วก็เอาส่วนของนายมาด้วย นี่มันเยี่ยมมาก แต่ว่านะ ปัญหาคือเราลงเดิมพันเหมือนกันนะสิ”
ทั้งคู่ไม่ได้ส่งเสียงออกมาแต่ว่ามุมปากของทั้งคู่ยิ้มเล็กน้อย
“นั่นก็จริง จะว่าไป นั่นมันอะไร”
เบื้องหน้าของกรีนแฮมซึ่งอยู่ถัดจากเท้าของรูปปั้นคือแผ่นศิลา
“อ๋อ นั่นเหรอ”
เฮกเครันไม่ได้หยุดขณะที่ให้คำตอบกับกรีนแฮม สิ่งที่จารึกไว้เป็นสิ่งที่สามทีมแรกที่มาก่อนเขาไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเขาเลยหวังว่าทางทีมของกรีนแฮมอาจจะรู้อะไรบ้าง
“มันคือแผ่นศิลาหน่ะ ที่สลักไว้น่าจะเป็นคำพูดอะไรบางอย่าง”
“สลักสิ่งที่น่าจะเป็นคำพูดเหรอ ทำไมนายถึงพูดอะไรกว้างๆแบบนั้น”
“เพราะมันเป็นภาษาที่ไม่รู้จัก ไม่ใช่ภาษาทางการของทั้งอาณาจักรและจักรวรรดิ และไม่ใช่แม้กระทั่งภาษาโบราณของพื้นที่แถบนี้ มันอาจจะไม่ใช่ภาษามนุษย์ด้วยซ้ำ มีสิ่งเดียวที่อ่านได้คือเลข 2.0 ตรงนี้”(เดาว่า…….ภาษาญี่ปุ่นแหงๆ//คนแปล//)
“ตัวเลขเหรอ ถ้าคิดตามหลักแล้วมันควรจะเป็นปีที่สถานที่นี้ถูกสร้าง แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็น้อยเกินไป”
“อาร์เช่คิดว่ามันอาจจะเป็นรหัสผ่านของอะไรสักอย่างด้านใน.... จำเผื่อไว้ด้วยหล่ะ”
“อ่า ได้เลย”
หลังจากเดินผ่านรูปปั้นขนาดยักษ์และไต่ลงไปตามแท่นที่ทั้งยาว แคบ และลาดเอียงซึ่งประกอบขึ้นจากโลงหิน พวกเขาก็มองเห็นทางเข้าที่เปิดกว้าง
“กลิ่นของคนตาย”
“อ่า ใช่เลย ฉันได้กลิ่นแบบนี้บ่อยมากเหมือนกับในหมอกจากทุ่งแกทส์ (Kattse Plain)”
กรีนแฮมเห็นด้วยกับเฮกเครันด้วยเสียงเบาๆ
กลิ่นนั้นไม่ได้น่าสะอิดสะเอียนแรงมาก แต่เป็นกลิ่นของอันเดท(Undead)ที่ประกอบกับความเย็นยะเยือกของสุสาน
ที่นี่เป็นสุสานที่งดงาม แต่ว่ามีอันเดท(Undead)อยู่ที่นี่แน่นอน
ทั้งกลุ่มเตรียมพร้อมและมองเห็นช่องว่างระหว่างที่กำลังเดินเข้าไป แท่นศิลาจำนวนมากถูกวางเรียงรายไว้ด้านซ้ายและขวา ในขณะที่อีกด้านเป็นบันไดลาดลง ประตูสำหรับลงไปข้างล่างเปิดกว้างและมีบรรยากาศน่าอึดอัดโชยออกมาจากด้านใน
“ทางนี้”
ตามเฮกเครันที่นำหน้า กรีนแฮมและคนอื่นเดินลงบันไดไป
ที่สุดทางบันไดคือห้องฝังศพที่มีประตูอยู่อีกด้าน นอกจากนั้นแล้วไม่มีประตูอื่นอีก มันแคบว่าห้องเก็บศพที่อยู่ด้านบน แต่ก็ยังมีพื้นที่พอประมาณ ทีมของเฮกเครัน’ฟอร์ไซท์’(Foresight) ทีมของเอรุยะ’เทนมุ’(Tenmu) และทีมของพารุพาทร้าอยู่ที่นี่ทุกคน
“เอาหละ เราจะไปยังไงต่อดี แผนของเราคือแยกกันออกไปเก็บข้อมูล ใครมีไอเดียใหม่หลังจากค้นที่เก็บศพบ้าง”
หลังจากพูด เฮกเครันก็มองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นั่น ทุกคนไม่มีความคิดอะไรเพิ่มเติม แต่ตาของทุกคนนั้นมีชีวิตชีวามาก เพียงแค่ไม่รู้ว่าเป็นประกายของความโลภหรือว่าเป็นเพราะแสงไฟสะท้อน ทุกคนมีความตื่นเต้นเต็มเปี่ยมและรอไม่ไหวที่จะเข้าไปในสุสาน
“ขอเสนอนิดหน่อย ทีมของข้าจะตรวจหาประตูลับและค้นหาด้านนอก”
แม้นั่นจะเป็นคำพูดของหัวหน้าทีม แต่สมาชิกทุกคนดูไม่พอใจเท่าไหร่คงเป็นเพราะสมบัติที่พวกเขาพบ พวกเขาไม่เห็นด้วยแม้จะเป็นความคิดของหัวหน้าผู้เปี่ยมประสบการณ์ เดาว่าทุกคนคงจินตนาการถึงสมบัติที่ลอยจากไปต่อหน้าต่อตา
“นายพูดอะไรนะ พวกเราค้นบริเวณพื้นผิวแล้วใช่มั้ย แต่พวกเรายังไม่ได้ตรวจแบบละเอียดเลย มันยังมีโอกาสที่ที่เก็บศพเล็กจะมีประตูหรือทางลับอยู่นะ ไม่คิดว่ามันน่าสำรวจบ้างเหรอ”
“ผู้เฒ่าพูดถูก ฉันเคยได้ยินเรื่องซากโบราณสถานแห่งซาซาชารุที่นักกวีร้องให้ฟังตลอด มันมีทางลับที่จะนำไปสู่ใจกลางของโบราณสถานเลย และอยู่ใกล้นิดเดียวจากทางเข้า”
“อ่า กรีนแฮม เราเชคสถานที่จนถึงห้องนี้แล้วนะ แต่ไม่เห็นจะมีทางลับซ่อนอยู่เลย”
“นั่นคือสาเหตุที่ข้าเสนอสิ่งนี้ และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ทีมของข้าทำงานนี้ ข้าขอส่วนแบ่งจากสิ่งที่พวกเจ้าได้จากชั้นนี้ ใช่ ขอซัก10%จากแต่ละทีม และพรุ่งนี้ขอให้ทีมของข้าเป็นทีมแรกที่เข้าสำรวจชั้นถัดไปจากชั้นนี้”
“ฉันไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้” คนแรกที่พูดคือกรีนแฮม คนต่อไปคือเฮกเครัน
“เยี่ยม ทุกคนตกลงนะ แล้วแกหล่ะ อุสรุธ”
“ถึงจะไม่ค่อยชอบ แต่ถ้าแค่10%ก็เอาไปเหอะ”
ผู้เฒ่ายิ้มให้คำพูดแดกดัน สีหน้าของเอรุยะแย่ลงเล็กน้อยหลังจากคำพูดแดกดันไม่ได้รับการตอบสนองที่เขาอยากได้
“อ้อใช่ ผู้เฒ่า ฉันรบกวนให้ท่านช่วยอะไรหน่อยถ้าผ่านไปทางนั้น เราเจอป้ายผ้าทำจากด้ายทองในที่เก็บศพที่เราค้น และมันดูเทอะทะเกินจะแบกไป รบกวนท่านช่วยเอากลับไปได้มั้ย”
“ผมเห็นด้วยกับเฮกเครัน มันอาจจะลำบากแต่รบกวนหน่อยนะ”
“ถ้างั้น เอาของฉันไปด้วย”
เอรุยะใช้คางชี้ไปที่หนึ่งในเอลฟ์ของเขา เธอนำผืนผ้าผืนใหญ่ออกมาและวางลงบนพื้นในขณะที่เซเล็กน้อยเพราะน้ำหนักของมัน
“เข้าใจหล่ะ นอกจากพวกนี้แล้ว มีอะไรอยากให้ข้าเอากลับอีกมั้ย”
ไม่มีการตอบรับเพิ่มอีก
“โอเค งั้นตามที่เสนอไปเมื่อกี้ ทีมของข้าจะค้นพื้นผิว ระวังตัวด้วย อ้อแล้วก็ไม่เป็นไรหรอกนะ ถ้าจะเหลืออะไรให้บ้าง”
“55 งั้นจะเหลือมอนสเตอร์ไว้ให้นะ แต่เหรียญทองหน่ะอย่างหวัง”
หลังจากหัวเราะ เฮกเครันก็ถามคนอื่นว่า “ไปเลยมั้ย?”
ทุกๆคนตอบรับในทันที พวกเขาออกเดินในขณะที่ตาเต็มไปด้วยความโลภและความคาดหวัง พวกเขาย่างก้าวแรกเข้าสู่โบราณสถานที่ไม่รู้จัก
มหาสุสานใต้พิภพ
ประตูถูกเปิดออกและมีทางเดินเส้นเดียวที่นำไปสู่ด้านใน และเป็นอย่างที่พวกเขาคาด พวกมันถูกดูแลอย่างดีและสะอาดมาก ของอย่างฝุ่น สนิมหรือมอสไม่ปรากฏให้เห็นบนทางเดินหินเลย มีรอยบากเล็กน้อยบนกำแพงที่มีของรูปร่างเหมือนกับนิ้วของมนุษย์ มันถูกพันไว้ด้วยผ้าห่อศพ
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้กลิ่นศพที่นี่ แต่ว่า มันเต็มไปด้วยกลิ่นของอันเดทและบรรยากาศที่เย็นยะเยือก
บนเพดานมีดวงไฟสีฟ้าขาวติดไว้เป็นระยะๆ ช่วงของมันนั้นค่อนข้างห่างกันมาก ทำให้ทางเดินนั้นมีความมืดเป็นระยะๆ แสงไฟนั้นสว่างพอที่ทำให้เดินได้สะดวก แต่ก็มืดพอที่จะทำให้พวกเขาพลาดอะไรได้เช่นกัน มันจะอันตรายมากถ้าพวกเขาไม่มีแหล่งแสงสว่างแหล่งอื่น
“----ร๊อบ มีปฏิกิริยาของอันเดทจากศพมั้ย”
“ไม่ ไม่มีเลย”
อาร์เช่ขอบคุณร๊อบแล้วเดินไปยังศพที่อยู่ในถุงบรรจุศพแล้วตัดถุงเปิดด้วยมีด ของเธอ หลังจากเห็นสิ่งที่เธอทำ แต่ละทีมส่งตัวแทนทีมละ1-2คนไปตรวจสอบศพที่อยู่ในถุง
“ดูจากความสูงกับขนาด เป็นไปได้สูงที่จะเป็นมนุษย์ ผู้ชายโตเต็มวัย”
“ศพพวกนี้ไม่มีเสื้อผ้า มันทำให้ยากที่จะบอกว่าสุสานนี้มากจากยุคสมัยใด”
“ตัวสุสานเองก็มีแต่ปริศนา รูปแบบสถาปัตยกรรม รูปแบบการฝัง รวมถึงช่วงเวลาทั้งหมดเป็นปริศนา บางทีมันอาจจะมาจากหกร้อยปีก่อน”
“ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง นี่จะเป็นการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์เลยหล่ะ!!!”
สำหรับทีทำงานค้นคว้าวิจัย นี่จะเป็นหัวข้อที่ยอดเยี่ยมมาก แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขามาเพื่องาน
หลังจากถูกมองอย่างเย็นชาจากเฮกเครันและกรีนแฮม พวกเขาก็บอกผลการตรวจสอบว่า “ช่วงเวลาและเบื้องหลังของสุสานนี้ยังเป็นปริศนา”
“เข้าใจละ งั้นเราไปกันต่อเหอะ ฉันอยากฆ่าสัตว์ประหลาดแล้ว”
เหมือนกับเห็นด้วยกับเอรุยะที่ไม่ค่อยพอใจ ทั้งกลุ่มก็เดินทางต่อแต่ก็ต้องหยุดกลางคัน
พวกเขาตั้งท่าเตรียมพร้อมและชักอาวุธมาอยู่ในมือ
มีเสียงกระดูกลั่นดังมาจากเบื้องหน้า จากแสงบนเพดานทำให้พวกเขาสามารถเห็นรูปร่างของอันเดทที่อยู่ข้างหน้าได้ หลังจากเข้าไปใกล้เพื่อตรวจสอบศัตรู เหล่าเวิร์กเกอร์ก็ตัวสั่นราวกับเห็นอะไรไม่น่าเชื่อและคุยกันเบาๆ
“นี่มันช่าง....”
“เฮ้ย เอาจริงเรอะ”
“นั่นมัน มีแต่สเกเลตัน(Skeleton)เรอะ”
ตอนที่ใครบางคนพูดชื่อมอนสเตอร์ออกมา ทั้งกลุ่มก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“เฮ้ยๆๆ ส่งแค่สเกเลตัน(Skeleton)เนี่ยไม่เกินไปหน่อยเรอะ พวกเรามีกันเพียบเลยนะ”
รูปร่างของเหล่าโครงกระดูกนั้นดูคล้ายๆกัน มันยากจะบอกได้ว่าเป็นชนิดไหน แต่ว่าพวกเขาก็ตัดสินว่ามันคือโครงกระดูกธรรมดาจากบรรยากาศที่มันส่งออกมา
“ต่อให้เป็นแค่หน่วยสอดแนมก็เหอะ น่าจะเป็นอะไรที่มันเก่งกว่านี้หน่อยน้า --- ชั้นรู้แล้ว มันคงไม่มีมอนสเตอร์คุมที่นี่ ไม่ก็บอกไม่ได้ว่าเราเก่งแค่ไหน หรือไม่พวกมันก็ยังไม่รู้ว่าโดนบุกเลย”
พวกเขาไม่สามารถหยุดหัวเราะกันได้
“เอ่อ..... เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่สเกเลตัน(Skeleton)นะ หรือว่าสมบัติของที่นี่ทั้งหมดจะมีอยู่แค่ที่เก็บศพบนพื้นผิวเหรอ”
“เป็นแบบนั้นก็แย่เลยนะ”
สำหรับเวิร์กเกอร์ที่ฝีมือทัดเทียมกับนักผจญภัยระดับมิสทริล(Mithril) สเกเลตัน(Skeleton)นั้นอ่อนแอมาก และเหล่าเวิร์กเกอร์ก็มีเยอะกว่าด้วย เบื้องหน้าของพวกเขาคือ สเกเลตัน(Skeleton)หกตัว พวกเขามองหน้ากันหร้อมคิดว่าใครจะเป็นคนลุย
“ฉันไม่ไปแน่” เอรุยะพูด ทุกคนเข้าใจความรู้สึกเขา
“งั้น ชั้นไปเอง”
กรีนแฮมพูดพร้อมเดินออกไปข้างหน้า
เหล่าโครงกระดูกที่มีสติปัญญาต่ำดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง พวกมันอาจจะคิดถึงการล้อมนักรับที่มาคนเดียว หรืออาจจะคิดถึงอย่างอื่น
พวกมันโจมตีพร้อมกัน และ-------
กระจายเป็นชิ้นๆอย่างง่ายดายด้วยการเหวี่ยงขวานและโล่ห์
เป็นเวลาแค่ไม่กี่วินาที อาจจะน้อยกว่านั้น
หลังจากบดขยี้สเกเลตัน(Skeleton)ทั้งหกตัวแล้วเหยียบลงบนซากของมัน กรีนแฮมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ใช่เพราะความอ่อนล้าจากการต่อสู้ แต่เป็นเพราะการที่คู่ต่อสู้คนแรกของมหาสุสานอ่อนแอเกินไปต่างหาก เป็นอันเดทระดับต่ำที่สุด สเกลตัน(Skeleton)
“เปราะบางเหลือเกิน ก็แค่สเกเลตันละนะ(Skeleton) แต่ว่ามันจะไม่ดีถ้าเราประมาท ให้นึกไว้เสมอว่ามีความเป็นไปได้ที่มีอันเดทระดับสูงอยู่ขณะที่เดินหน้าต่อ ไปด้วย”
หลังจากผ่านไปซักพัก เฮกเครันก็มองเห็นผู้ชาย5คนวิ่งออกมาจากที่เก็บศพ พวกเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วพร้อมกับพยายามซ่อนตัวเองไปด้วย เฮกเครันมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวงเพราะอาจมีคนที่กำลังเฝ้ามองพวกเขาอยู่หรือ อาจจะมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น ในที่สุด หลังจากยืนยันว่าพวกเขาปลอดภัย เฮกเครันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาให้สัญญาณจากเท้าของรูปปั้นยักษ์และกรีนแฮมก็พุ่งเข้ามาทันทีหลังจากที่ เห็น
“นายมาช้านะกรีนแฮม”
“ขอบคุณที่อุตส่าห์รอพวกเรานะ”
“เราไม่ได้ตกลงเรื่องเวลาเพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก เอาหล่ะ เปลี่ยนที่คุยกันเถอะ แล้วค่อยว่ากันว่าจะเอายังไงต่อ”
เฮกเครันย่อตัวลงแล้วออกเดินนำไป พอผ่านไปไม่กี่ก้าว กรีนแฮมก็ถามขึ้นมา
“ถามนิดนะ พวกนายเจอสมบัติหรือเปล่า”
เฮกเครันยิ้มด้วยความตื่นเต้นเพราะยังจำความรู้สึกได้แล้วพูดต่อ
“แน่นอน เจอเพียบเลย ผู้เฒ่าก็บอกเหมือนกัน”
“ทุกคนเลยเหรอ แสดงว่ามาที่สุสานนี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกสินะ”
“นั่นก็จริง ชั้นรู้สึกขอบคุณท่านๆที่ถูกฝังที่นี่เลยแหละ”
“อืมมม นั่นก็ใช่ แต่ในเมื่อเราเจอสมบัติตั้งเยอะแล้ว มันคงมีความเป็นไปได้ที่ว่าจะไม่เจออะไรเลยในสุสานหลักใช่มั้ย”
“แต่ชั้นเดาว่ามันน่าจะมีมากกว่านี้นะ”
“หืมมม อยากจะพนันกันหน่อยมั้ย”
“เยี่ยม งั้นชั้นจะหาเพิ่มแล้วก็เอาส่วนของนายมาด้วย นี่มันเยี่ยมมาก แต่ว่านะ ปัญหาคือเราลงเดิมพันเหมือนกันนะสิ”
ทั้งคู่ไม่ได้ส่งเสียงออกมาแต่ว่ามุมปากของทั้งคู่ยิ้มเล็กน้อย
“นั่นก็จริง จะว่าไป นั่นมันอะไร”
เบื้องหน้าของกรีนแฮมซึ่งอยู่ถัดจากเท้าของรูปปั้นคือแผ่นศิลา
“อ๋อ นั่นเหรอ”
เฮกเครันไม่ได้หยุดขณะที่ให้คำตอบกับกรีนแฮม สิ่งที่จารึกไว้เป็นสิ่งที่สามทีมแรกที่มาก่อนเขาไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเขาเลยหวังว่าทางทีมของกรีนแฮมอาจจะรู้อะไรบ้าง
“มันคือแผ่นศิลาหน่ะ ที่สลักไว้น่าจะเป็นคำพูดอะไรบางอย่าง”
“สลักสิ่งที่น่าจะเป็นคำพูดเหรอ ทำไมนายถึงพูดอะไรกว้างๆแบบนั้น”
“เพราะมันเป็นภาษาที่ไม่รู้จัก ไม่ใช่ภาษาทางการของทั้งอาณาจักรและจักรวรรดิ และไม่ใช่แม้กระทั่งภาษาโบราณของพื้นที่แถบนี้ มันอาจจะไม่ใช่ภาษามนุษย์ด้วยซ้ำ มีสิ่งเดียวที่อ่านได้คือเลข 2.0 ตรงนี้”(เดาว่า…….ภาษาญี่ปุ่นแหงๆ//คนแปล//)
“ตัวเลขเหรอ ถ้าคิดตามหลักแล้วมันควรจะเป็นปีที่สถานที่นี้ถูกสร้าง แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็น้อยเกินไป”
“อาร์เช่คิดว่ามันอาจจะเป็นรหัสผ่านของอะไรสักอย่างด้านใน.... จำเผื่อไว้ด้วยหล่ะ”
“อ่า ได้เลย”
หลังจากเดินผ่านรูปปั้นขนาดยักษ์และไต่ลงไปตามแท่นที่ทั้งยาว แคบ และลาดเอียงซึ่งประกอบขึ้นจากโลงหิน พวกเขาก็มองเห็นทางเข้าที่เปิดกว้าง
“กลิ่นของคนตาย”
“อ่า ใช่เลย ฉันได้กลิ่นแบบนี้บ่อยมากเหมือนกับในหมอกจากทุ่งแกทส์ (Kattse Plain)”
กรีนแฮมเห็นด้วยกับเฮกเครันด้วยเสียงเบาๆ
กลิ่นนั้นไม่ได้น่าสะอิดสะเอียนแรงมาก แต่เป็นกลิ่นของอันเดท(Undead)ที่ประกอบกับความเย็นยะเยือกของสุสาน
ที่นี่เป็นสุสานที่งดงาม แต่ว่ามีอันเดท(Undead)อยู่ที่นี่แน่นอน
ทั้งกลุ่มเตรียมพร้อมและมองเห็นช่องว่างระหว่างที่กำลังเดินเข้าไป แท่นศิลาจำนวนมากถูกวางเรียงรายไว้ด้านซ้ายและขวา ในขณะที่อีกด้านเป็นบันไดลาดลง ประตูสำหรับลงไปข้างล่างเปิดกว้างและมีบรรยากาศน่าอึดอัดโชยออกมาจากด้านใน
“ทางนี้”
ตามเฮกเครันที่นำหน้า กรีนแฮมและคนอื่นเดินลงบันไดไป
ที่สุดทางบันไดคือห้องฝังศพที่มีประตูอยู่อีกด้าน นอกจากนั้นแล้วไม่มีประตูอื่นอีก มันแคบว่าห้องเก็บศพที่อยู่ด้านบน แต่ก็ยังมีพื้นที่พอประมาณ ทีมของเฮกเครัน’ฟอร์ไซท์’(Foresight) ทีมของเอรุยะ’เทนมุ’(Tenmu) และทีมของพารุพาทร้าอยู่ที่นี่ทุกคน
“เอาหละ เราจะไปยังไงต่อดี แผนของเราคือแยกกันออกไปเก็บข้อมูล ใครมีไอเดียใหม่หลังจากค้นที่เก็บศพบ้าง”
หลังจากพูด เฮกเครันก็มองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นั่น ทุกคนไม่มีความคิดอะไรเพิ่มเติม แต่ตาของทุกคนนั้นมีชีวิตชีวามาก เพียงแค่ไม่รู้ว่าเป็นประกายของความโลภหรือว่าเป็นเพราะแสงไฟสะท้อน ทุกคนมีความตื่นเต้นเต็มเปี่ยมและรอไม่ไหวที่จะเข้าไปในสุสาน
“ขอเสนอนิดหน่อย ทีมของข้าจะตรวจหาประตูลับและค้นหาด้านนอก”
แม้นั่นจะเป็นคำพูดของหัวหน้าทีม แต่สมาชิกทุกคนดูไม่พอใจเท่าไหร่คงเป็นเพราะสมบัติที่พวกเขาพบ พวกเขาไม่เห็นด้วยแม้จะเป็นความคิดของหัวหน้าผู้เปี่ยมประสบการณ์ เดาว่าทุกคนคงจินตนาการถึงสมบัติที่ลอยจากไปต่อหน้าต่อตา
“นายพูดอะไรนะ พวกเราค้นบริเวณพื้นผิวแล้วใช่มั้ย แต่พวกเรายังไม่ได้ตรวจแบบละเอียดเลย มันยังมีโอกาสที่ที่เก็บศพเล็กจะมีประตูหรือทางลับอยู่นะ ไม่คิดว่ามันน่าสำรวจบ้างเหรอ”
“ผู้เฒ่าพูดถูก ฉันเคยได้ยินเรื่องซากโบราณสถานแห่งซาซาชารุที่นักกวีร้องให้ฟังตลอด มันมีทางลับที่จะนำไปสู่ใจกลางของโบราณสถานเลย และอยู่ใกล้นิดเดียวจากทางเข้า”
“อ่า กรีนแฮม เราเชคสถานที่จนถึงห้องนี้แล้วนะ แต่ไม่เห็นจะมีทางลับซ่อนอยู่เลย”
“นั่นคือสาเหตุที่ข้าเสนอสิ่งนี้ และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ทีมของข้าทำงานนี้ ข้าขอส่วนแบ่งจากสิ่งที่พวกเจ้าได้จากชั้นนี้ ใช่ ขอซัก10%จากแต่ละทีม และพรุ่งนี้ขอให้ทีมของข้าเป็นทีมแรกที่เข้าสำรวจชั้นถัดไปจากชั้นนี้”
“ฉันไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้” คนแรกที่พูดคือกรีนแฮม คนต่อไปคือเฮกเครัน
“เยี่ยม ทุกคนตกลงนะ แล้วแกหล่ะ อุสรุธ”
“ถึงจะไม่ค่อยชอบ แต่ถ้าแค่10%ก็เอาไปเหอะ”
ผู้เฒ่ายิ้มให้คำพูดแดกดัน สีหน้าของเอรุยะแย่ลงเล็กน้อยหลังจากคำพูดแดกดันไม่ได้รับการตอบสนองที่เขาอยากได้
“อ้อใช่ ผู้เฒ่า ฉันรบกวนให้ท่านช่วยอะไรหน่อยถ้าผ่านไปทางนั้น เราเจอป้ายผ้าทำจากด้ายทองในที่เก็บศพที่เราค้น และมันดูเทอะทะเกินจะแบกไป รบกวนท่านช่วยเอากลับไปได้มั้ย”
“ผมเห็นด้วยกับเฮกเครัน มันอาจจะลำบากแต่รบกวนหน่อยนะ”
“ถ้างั้น เอาของฉันไปด้วย”
เอรุยะใช้คางชี้ไปที่หนึ่งในเอลฟ์ของเขา เธอนำผืนผ้าผืนใหญ่ออกมาและวางลงบนพื้นในขณะที่เซเล็กน้อยเพราะน้ำหนักของมัน
“เข้าใจหล่ะ นอกจากพวกนี้แล้ว มีอะไรอยากให้ข้าเอากลับอีกมั้ย”
ไม่มีการตอบรับเพิ่มอีก
“โอเค งั้นตามที่เสนอไปเมื่อกี้ ทีมของข้าจะค้นพื้นผิว ระวังตัวด้วย อ้อแล้วก็ไม่เป็นไรหรอกนะ ถ้าจะเหลืออะไรให้บ้าง”
“55 งั้นจะเหลือมอนสเตอร์ไว้ให้นะ แต่เหรียญทองหน่ะอย่างหวัง”
หลังจากหัวเราะ เฮกเครันก็ถามคนอื่นว่า “ไปเลยมั้ย?”
ทุกๆคนตอบรับในทันที พวกเขาออกเดินในขณะที่ตาเต็มไปด้วยความโลภและความคาดหวัง พวกเขาย่างก้าวแรกเข้าสู่โบราณสถานที่ไม่รู้จัก
มหาสุสานใต้พิภพ
ประตูถูกเปิดออกและมีทางเดินเส้นเดียวที่นำไปสู่ด้านใน และเป็นอย่างที่พวกเขาคาด พวกมันถูกดูแลอย่างดีและสะอาดมาก ของอย่างฝุ่น สนิมหรือมอสไม่ปรากฏให้เห็นบนทางเดินหินเลย มีรอยบากเล็กน้อยบนกำแพงที่มีของรูปร่างเหมือนกับนิ้วของมนุษย์ มันถูกพันไว้ด้วยผ้าห่อศพ
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้กลิ่นศพที่นี่ แต่ว่า มันเต็มไปด้วยกลิ่นของอันเดทและบรรยากาศที่เย็นยะเยือก
บนเพดานมีดวงไฟสีฟ้าขาวติดไว้เป็นระยะๆ ช่วงของมันนั้นค่อนข้างห่างกันมาก ทำให้ทางเดินนั้นมีความมืดเป็นระยะๆ แสงไฟนั้นสว่างพอที่ทำให้เดินได้สะดวก แต่ก็มืดพอที่จะทำให้พวกเขาพลาดอะไรได้เช่นกัน มันจะอันตรายมากถ้าพวกเขาไม่มีแหล่งแสงสว่างแหล่งอื่น
“----ร๊อบ มีปฏิกิริยาของอันเดทจากศพมั้ย”
“ไม่ ไม่มีเลย”
อาร์เช่ขอบคุณร๊อบแล้วเดินไปยังศพที่อยู่ในถุงบรรจุศพแล้วตัดถุงเปิดด้วยมีด ของเธอ หลังจากเห็นสิ่งที่เธอทำ แต่ละทีมส่งตัวแทนทีมละ1-2คนไปตรวจสอบศพที่อยู่ในถุง
“ดูจากความสูงกับขนาด เป็นไปได้สูงที่จะเป็นมนุษย์ ผู้ชายโตเต็มวัย”
“ศพพวกนี้ไม่มีเสื้อผ้า มันทำให้ยากที่จะบอกว่าสุสานนี้มากจากยุคสมัยใด”
“ตัวสุสานเองก็มีแต่ปริศนา รูปแบบสถาปัตยกรรม รูปแบบการฝัง รวมถึงช่วงเวลาทั้งหมดเป็นปริศนา บางทีมันอาจจะมาจากหกร้อยปีก่อน”
“ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง นี่จะเป็นการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์เลยหล่ะ!!!”
สำหรับทีทำงานค้นคว้าวิจัย นี่จะเป็นหัวข้อที่ยอดเยี่ยมมาก แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขามาเพื่องาน
หลังจากถูกมองอย่างเย็นชาจากเฮกเครันและกรีนแฮม พวกเขาก็บอกผลการตรวจสอบว่า “ช่วงเวลาและเบื้องหลังของสุสานนี้ยังเป็นปริศนา”
“เข้าใจละ งั้นเราไปกันต่อเหอะ ฉันอยากฆ่าสัตว์ประหลาดแล้ว”
เหมือนกับเห็นด้วยกับเอรุยะที่ไม่ค่อยพอใจ ทั้งกลุ่มก็เดินทางต่อแต่ก็ต้องหยุดกลางคัน
พวกเขาตั้งท่าเตรียมพร้อมและชักอาวุธมาอยู่ในมือ
มีเสียงกระดูกลั่นดังมาจากเบื้องหน้า จากแสงบนเพดานทำให้พวกเขาสามารถเห็นรูปร่างของอันเดทที่อยู่ข้างหน้าได้ หลังจากเข้าไปใกล้เพื่อตรวจสอบศัตรู เหล่าเวิร์กเกอร์ก็ตัวสั่นราวกับเห็นอะไรไม่น่าเชื่อและคุยกันเบาๆ
“นี่มันช่าง....”
“เฮ้ย เอาจริงเรอะ”
“นั่นมัน มีแต่สเกเลตัน(Skeleton)เรอะ”
ตอนที่ใครบางคนพูดชื่อมอนสเตอร์ออกมา ทั้งกลุ่มก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“เฮ้ยๆๆ ส่งแค่สเกเลตัน(Skeleton)เนี่ยไม่เกินไปหน่อยเรอะ พวกเรามีกันเพียบเลยนะ”
รูปร่างของเหล่าโครงกระดูกนั้นดูคล้ายๆกัน มันยากจะบอกได้ว่าเป็นชนิดไหน แต่ว่าพวกเขาก็ตัดสินว่ามันคือโครงกระดูกธรรมดาจากบรรยากาศที่มันส่งออกมา
“ต่อให้เป็นแค่หน่วยสอดแนมก็เหอะ น่าจะเป็นอะไรที่มันเก่งกว่านี้หน่อยน้า --- ชั้นรู้แล้ว มันคงไม่มีมอนสเตอร์คุมที่นี่ ไม่ก็บอกไม่ได้ว่าเราเก่งแค่ไหน หรือไม่พวกมันก็ยังไม่รู้ว่าโดนบุกเลย”
พวกเขาไม่สามารถหยุดหัวเราะกันได้
“เอ่อ..... เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่สเกเลตัน(Skeleton)นะ หรือว่าสมบัติของที่นี่ทั้งหมดจะมีอยู่แค่ที่เก็บศพบนพื้นผิวเหรอ”
“เป็นแบบนั้นก็แย่เลยนะ”
สำหรับเวิร์กเกอร์ที่ฝีมือทัดเทียมกับนักผจญภัยระดับมิสทริล(Mithril) สเกเลตัน(Skeleton)นั้นอ่อนแอมาก และเหล่าเวิร์กเกอร์ก็มีเยอะกว่าด้วย เบื้องหน้าของพวกเขาคือ สเกเลตัน(Skeleton)หกตัว พวกเขามองหน้ากันหร้อมคิดว่าใครจะเป็นคนลุย
“ฉันไม่ไปแน่” เอรุยะพูด ทุกคนเข้าใจความรู้สึกเขา
“งั้น ชั้นไปเอง”
กรีนแฮมพูดพร้อมเดินออกไปข้างหน้า
เหล่าโครงกระดูกที่มีสติปัญญาต่ำดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง พวกมันอาจจะคิดถึงการล้อมนักรับที่มาคนเดียว หรืออาจจะคิดถึงอย่างอื่น
พวกมันโจมตีพร้อมกัน และ-------
กระจายเป็นชิ้นๆอย่างง่ายดายด้วยการเหวี่ยงขวานและโล่ห์
เป็นเวลาแค่ไม่กี่วินาที อาจจะน้อยกว่านั้น
หลังจากบดขยี้สเกเลตัน(Skeleton)ทั้งหกตัวแล้วเหยียบลงบนซากของมัน กรีนแฮมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ใช่เพราะความอ่อนล้าจากการต่อสู้ แต่เป็นเพราะการที่คู่ต่อสู้คนแรกของมหาสุสานอ่อนแอเกินไปต่างหาก เป็นอันเดทระดับต่ำที่สุด สเกลตัน(Skeleton)
“เปราะบางเหลือเกิน ก็แค่สเกเลตันละนะ(Skeleton) แต่ว่ามันจะไม่ดีถ้าเราประมาท ให้นึกไว้เสมอว่ามีความเป็นไปได้ที่มีอันเดทระดับสูงอยู่ขณะที่เดินหน้าต่อ ไปด้วย”
ทุกคนปรับอารมณ์หลังจากได้ยินกรีนแฮม พูดและมุ่งหน้าต่อไปเข้าสู่ส่วนลึกของสุสาน ในใจทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังถึงสมบัติที่อาจรออยู่ข้างหน้า
-----------------------------------------------------------------------------
“ยาเระ ยาเระ พวกเขาไปกันแล้วเรอะ”-----------------------------------------------------------------------------
“ใช่แล้ว พวกเขาอาจจะเป็นเวิร์กเกอร์ แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ทีมเดียวกันเพราะฉะนั้นพวกเราถือเป็นเพื่อนร่วมงานกันนะ มันคงจะดีถ้าพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัยนะ..... คุณโมมอน ครับ, คุณคิดว่ายังไงบ้าง”
“------พวกเขาจะตายกันหมดทุกคน”
ไอนส์ตอบด้วยเสียงต่ำๆ ทำให้หัวหน้าทีมนักผจญภัยอึ้งไป
---ชิหัย ดันพูดสิ่งที่คิดเอาไว้ออกไปซะได้
“เอ่อ โอ้ ข้าหมายถึง มันควรที่จะเตรียมใจกับความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ เรากำลังพูดถึงโบราณสถานที่ไม่รู้จักนะ เราไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขาจะเข้าไปเจออันตรายแบบไหน เพราะฉะนั้นการตั้งความหวังไว้สูงอาจจะจบด้วยความผิดหวังได้”
“เช่นนั้นเองเหรอครับ ต้องขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”
--ฉันแถออกไปแล้วเขาก็ยังเห็นด้วยเหรอ เอาเหอะยังไงมันก็ดีกับเราอ่ะนะ
หัวหน้าทีมก้มหัวลงเล็กน้อยเพราะเขาคิดว่าคำพูดของนักผจญภัยระดับอดามันไทต์นั้นถูกต้องแล้ว
ความพยายามของไอนส์ ที่เขาสร้างความเป็นมิตรและความหวังดีระหว่างการเดินทางนั้นไม่เสียเปล่า
“งั้นก็ตามแผนแล้ว ข้าจะพักก่อนหล่ะ”
ไอส์มุ่งหน้าไปยังเต็นท์ของเขาซึ่งแน่นอน เขาใช้มันร่วมกับนาเบล มันอยู่ห่างออกไปพอควร บางคนคิดไว้ว่าเพื่อกันไม่ให้คนอื่นได้ยินเสียงคราง หรือก็คือ นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาได้ยินมาจากหัวหน้าอีกที
ถ้าเปรียบเทียบกับเวิร์กเกอร์แล้ว พวกเขารู้สึกสนิทกับโมมอนที่เป็นนักผจญภัยเหมือนกันมากกว่า รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลที่ได้มาจากเวิร์กเกอร์กันอย่างอิสระด้วย
ไอส์กับนาเบลปิดประตูเต็นท์หลังจากเข้าไป พวกเขาแอบมองออกมาเล็กน้อยเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครกำลังมอง เพราะว่าจริงๆแล้ว มีมันมีคนที่จงใจโชว์แบบไม่สนใจอะไร
“...ถึงแม้พวกเขาจะบอกว่านี่เป็นรังรักก็เถอะ การที่ไม่ปฏิเสธอาจจะเป็นการกระทำที่ถูกก็ได้ พวกเขาไม่สงสัยอะไรแม้เต็นท์เราจะอยู่ห่างออกมา พวกเขาไม่สนใจที่นี่และไม่เข้ามาใกล้ด้วย”
มันก็มีข้อเสียหล่ะนะ แต่ว่าข้อดีมีมากกว่ามาก
ไอส์ถอดหมวกเหล็กและเผยให้เห็นศรีษะหัวกะโหลก
“เอาหล่ะ นาเบะ.....ไม่สิ นาเบรัล ข้าจะกลับไปที่นาซาริกแล้วส่งแพนโดร่าแอคเตอร์มาแทนตามแผน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ให้พยายามแก้ไขด้วยตัวเอง”
“ตามที่ท่านสั่งค่ะ ไอส์ซามะ”
“เอิ่ม มีอะไรก็ติดต่อข้าละกัน”
ไอส์ยกเลิกเวทย์มนต์ที่ก่อตัวเป็นชุดเกราะและดาบของเขา น้ำหนักของหมวกเหล็กหายไปจากมือ ความรู้สึกสบายหลังถอดเกราะออกทำให้ไอส์ส่งเสียง อ่า ออกมาแม้มันจะไม่ได้หนักขนาดนั้น และเหตุผลเดียวกับการที่เขาหมุนไหล่ทั้งๆที่มันไม่ปวดเลย พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งหลงเหลือจากตอนที่เขายังเป็นมนุษย์อยู่
“ไม่ไหว ไม่ไหว”
ความรู้สึกของมนุษย์นั้นบางครั้งก็สร้างปัญหาให้
ถ้าเขาสามารถจัดการปัญหาทุกสถานการณ์ได้อย่างสุขุม หลายๆอย่างอาจต่างไปจากนี้ ถึงแบบนั้น ถ้าเขาสูญเสียอารมณ์ของมนุษย์ไปทั้งหมด เขาก็คงไม่รักมหาสุสานแห่งนาซาริกมากเท่าที่เขารักตอนนี้ ความปรารถนาของมนุษย์ที่ชื่อซูซุกิ ซาโตรุที่มีต่อเพื่อนของเขาก็จะหายไปด้วยเช่นกัน
ขณะที่ไอส์กำลังยิ้มนั้น เขาก็ร่ายเวทย์ไปด้วย ถึงแม้อารมณ์ของมนุษย์จะถูกเก็บไปแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนที่สามารถทำอะไรหลายๆอย่างได้พร้อมกัน
เวทย์ที่เขาร่ายคือ ‘เกรทเทอร์ เทเลพอเทชั่น’(Greater Teleportation)
ในเมื่อเขาสวมแหวนอยู่ ไอส์สามารถผ่านบาเรียของมหาสุสานแห่งนาซาริกมุ่งหน้าสู้ห้องบัลลังค์ได้เลย
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ ไอส์ซามะ”
ผ่านไปสักครู่ เสียงผู้หญิงอันไพเราะก็ได้ต้อนรับการกลับมาของเขา
“ข้ากลับมาแล้ว อัลเบอโด้”
สตรีที่ก้มหัวอยู่เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มอันสดใสปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอมองมาที่ไอส์ที่เดียวราวกับไม่สนอย่างอื่น
---เอ่อออออ
หลังจากเห็นดวงตาสีทองที่เต็มไปด้วยความรัก เขาก็อดรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวไม่ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถแสดงท่าทีที่ไม่เหมาะสมกับ ไอส์ อูลน์ โกว์น ผู้ปกครองแห่งมหาสุสานนาซาริกให้เห็นได้ ไอส์กดความรู้สึกนั้นลงไปขณะที่เงียบไปซักครู่ แล้วจึงกระแอมเล็กน้อยอย่างจงใจ
“เอาหล่ะ เป็นไปตามแผน เหล่าผู้บุกรุกอยู่ที่นี่แล้ว ไม่สิ บางทีอาจจะเข้ามาข้างในแล้วด้วย การเตรียมการเป็นยังไงบ้าง?”
“การเตรียมการพร้อมแล้วค่ะ แขกทุกคนจะพบกับความสำราญใจแน่นอน”
“เช่นนนั้นหรืออัลเบอโด้ งั้นข้าจะรอเห็นความปลื้มปิติของพวกเขา”
เขาเดินไปยังหัวใจของมหาสุสานแห่งนาซาริก ห้องบัลลังก์ อัลเบอโด้เดินหลังห่างไปหนึ่งก้าว
อัลเบอโด้ได้รับคำสั่งเดียวที่เกี่ยวกับผู้บุกรุกในคราวนี้ นั่นคือการทำการทดสอบระบบป้องกันของเธอในการใช้งานจริง
สถานที่ๆวางPOPs(อันนี้ผมไม่ทราบนะครับว่าคืออะไร ท่านใดทราบรบกวนบอกด้วยนะครับ) ในนาซาริกและการใช้งานร่วมกับมอนสเตอร์นั้นทั้งหมดถูกทำโดยเพื่อนร่วมกิลด์ ของเขา และมันก็ยอดเยี่ยมมากด้วย แต่ว่าในสถานการณ์นี้ มันก็ยากที่จะพูดว่าไม่มีการจัดวางที่ดีกว่า และมันก็จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบระบบป้องกัน และพวกเขาก็กำลังจะทำมัน
“...เหล่าผู้บุกรุกนั้นเปราะบางมาก แน่นอนว่าเราไม่สามารถทดสอบทุกอย่างได้ แต่เราก็ภาวนากันเถอะว่าเราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้าง”
“เข้าใจแล้วค่ะ ชั้นสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังค่ะ ไอส์ซามะ”
“ดีมาก อย่างที่เจ้ารู้อยู่แล้ว ให้หลีกเลี่ยงการใช้กับดักที่ต้องเสียเงินอย่างการปล่อยแก๊สพิษหรือพื้นที่ คลื่นอันเดทฉับพลัน(Sudden Floods of Undead) พยายามใช้พวกPOPsหรือกับดักที่มีข้ารับใช้ มีปัญหามั้ย”
เพื่อตอบรับรอยยิ้มของอัลเบอโด้ ไอส์ยิ้ม
“ดีมาก เอาหล่ะ ระหว่างนั้น เรามารับชมความสนุกกันดีกว่า ฟลอร์การ์เดี้ยนคนอื่นทำอะไรอยู่”
“ค่ะ ตอนที่ไอส์ซามะมาถึง ชั้นได้บอกให้ทุกคนมารวมตัวแล้วค่ะ จะอนุญาติให้เข้ามาตามลำดับการมาเลยมั้ยคะ”
“อนุญาต ยิ่งคนเยอะยิ่งสนุก”
เบื้องหน้าบัลลังค์ที่ไอส์นั่งอยู่มีสิ่งที่ดูเหมือนหน้าจอทีวีอยู่จำนวนนึง ลอยอยู่ในอากาศ แต่ละอันแสดงให้เห็นแต่ละส่วนของนาซาริก อัลเบอโด้เป็นคนควบคุมส่วนที่ไอส์อยากเห็น
ต่อจากนั้น อัลเบอโด้แสดงการควบคุมของเธอบนเครือข่ายระบบป้องกัน ไอส์ไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงระบบจะให้ผลอย่างไร
....เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากการฝึกนี้ให้เต็มที่ ฉันต้องเรียนรู้อะไรบางอย่างจากสิ่งที่เห็น ถ้ามันมีการแลกเปลี่ยนความคิดเกิดขึ้นหลังจากนี้ มันไม่ดีแน่
ไอส์เป็นผู้ปกครองมหาสุสานแห่งนาซาริก คนอย่างเขาจะไม่เข้าใจระบบป้องกันเลยถ้าต้องเทียบกับลูกน้องได้อย่างไร
“ถามเผื่อไว้ก่อน มันไม่มีโอกาสที่ อารีแอดเน่(Ariadne) จะทำงานถูกมั้ย”
ไอส์เปิดแผงควบคุมของเขาแล้วเลื่อนเคอร์เซอร์เพื่อตรวจสอบขณะที่ถาม
“ข้าไม่คิดว่ามันมีโอกาสที่มันจะเกิดขึ้น แต่ว่า ข้าก็อยากยืนยันว่ามันจะทำงานหรือไม่ถ้าผู้บุกรุกโดนขัง”
ไอส์จำส่วนQ&Aของอิกดราซิลที่เขาเคยอ่านได้ พูดให้ถูกคือ รายละเอียดการอัพเดตจากผู้พัฒนา
“ไม่น่านะคะ เป็นเช่นนั้นค่ะ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนั้นในอิกดราซิล แต่ว่าไม่มีอะไรรับประกันว่ามันจะเป็นแบบนั้นที่โลกนี้ แม้แต่การมีอยู่ของอารีแอดเน่ก็ยังไม่ถูกยืนยัน
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราควบคุมมนุษย์ให้ทำแบบนั้นเอง”
“มันมีโอกาสที่จะไม่ทำงาน แต่ถ้าเปรียบเทียบความสูญเสียแล้ว มันมากเกินไปข้าเลยยังไม่เคยลอง”
อารีแอดเน่ ซิสเต็ม(Ariadne System) คือระบบที่ตรวจสอบความแข็งแกร่งของฐานที่ถูกสร้างขึ้น
ปกติแล้ว มันมีวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะสร้างป้อมปราการที่ไร้เทียมทาน โดยปิดทางเข้าทั้งหมดไม่ให้ใครเข้ามาได้ การฝังมหาสุสานแห่งนาซาริกไว้ใต้ดินก็เช่นกัน เพียงแต่ การทำแบบนั้นไม่ได้รับอนุญาตตอนยังเป็นเกมส์ และเพื่อป้องกันการทำแบบนั้น อารีแอดเน่ ซิสเต็มมีไว้เพื่อการนี้
สิ่งที่อารีแอดเน่ ซิสเต็มทำการตรวจสอบก็เช่น มันจำเป็นต้องมีทางที่เชื่อมตั้งแต่ทางเข้าจนถึงใจกลางหรือหัวใจของฐาน ระยะทางที่สามารถเดินทางได้ภายในฐาน จำนวนประตู และรายละเอียดอีกมากมายซึ่งลิสต์เป็นกฎการสร้างฐานทัพไว้อย่างละเอียด
ดันเจี้ยนที่ทำผิดกฎจะโดนปักธงไว้โดยระบบเกมและโดนปรับ เงินของกิลด์จะถูกตัดออกไปในอัตราที่เห็นได้อย่างชัดเจน
สำหรับนาซาริกนั้น ปัญหานี้ได้ถูกแก้ด้วยชั้นที่5 และ6 พวกเขาได้จ่ายเงินไปมากเพื่อขยายขนาดดันเจี้ยนและรักษามันไว้
ไอส์ควบคุมหน้าจอหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นภาพของเวิร์กเกอร์
“เฮ้อ เอาหล่ะ ได้เวลาที่พวกเขาจะโผล่มาแล้ว พวกนั้นปล่อยให้ข้ารอนานมาก”
ความรู้สึกไม่พอใจเข้ามาหาไอส์เมื่อเขาเห็นภาพฐานที่มั่นที่เขากับเพื่อนๆ ช่วยกันสร้างถูกทำให้แปดเปื้อนโดยเท้าอันสกปรกของเหล่าผู้บุกรุก ถึงแม้อารมณ์ของเขาจะถูกกดไว้เมื่อถึงระดับนึง แต่ว่ามันก็ไม่สามารถถูกขจัดออกไปได้หมด
“อัลเบอโด้ .. จงอย่าให้มันผู้ใดหนีออกไปได้”
“แน่นอนค่ะ ได้โปรดรับชมชะตากรรมของเหล่าโจรที่บังอาจบุกรุกเข้ามาในที่อยู่ของเหล่า เจ้าชีวิตด้วยความสนุกได้เลยค่ะ แล้ว....เราจะเลือกหนูตัวไหนสำหรับการทดลองดีคะ”
“อ่า ใช่ๆ ข้าได้ประมือกับเจ้าแก่นั่น เจ้านั่นด้วย แล้วก็ ทีมนี้ไม่เหมาะกับการฝึก ทำการกำจัดมันก่อนได้เลย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น