วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

Vol7 C3 P1



Overlord Vol.7 Ch.3 Part1

ทีมเวิร์คเกอร์ที่นำโดยพารุพาทร้า(Parupatra) กรีนลีฟ(Green Leaf)แยกตัวออกจากกลุ่มที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวังพร้อมกับมอง ไปรอบๆจากส่วนบนสุดของบันไดทางเข้าสุสานหลัก ราวกับว่าทุกสิ่งนั้นถูกปกคลุมด้วยหิมะ ไม่มีสิ่งมีชิวิตปรากฏ ทุกสิ่งนั้นราวกับได้ตายหมดแล้ว มีเพียงแค่ความเงียบและแสงดาวเท่านั้น ลูกทีมได้เอ่ยถามขึ้นหลังจากปีนบันไดเสร็จแล้ว

“ผู้เฒ่า ไม่คิดว่ามันเป็นการเสียโอกาสไปหน่อยเหรอ เราสามารถโยนงานสำรวจพื้นผิวให้ทีมอื่นได้นะ”

“มันก็จริง ไม่ว่าจะเป็นทีมไหน…ยกเว้นไอ้เจ้านั่น ความสามารถก็ไม่แตกต่างกันมาก อะไรที่ทีมเราทำได้ เฮฟวี่ แมชเชอร์(Heavy Masher) หรือ ฟอร์ไซท์(Foresight)ก็คงทำได้เช่นกัน”

“ถ้างั้น….”

พารุพาทร้าตัดบทเพื่อนร่วมทีมแล้วพูดต่อ

“แต่เราก็ได้สิทธ์ค้นหาเป็นทีมแรกในวันพรุ่งนี้ไม่ใช่รึ เราคงยังไม่พลาดอะไรมากนักหรอก อีกอย่าง การสำรวจน่าจะเสร็จสิ้นลงในวันพรุ่งนี้ทีมที่เป็นทีมสุดท้ายคงพลาดของเกือบทั้งหมด กรณีที่แย่ที่สุด คืออยู่เฝ้าเบสแคมป์พร้อมหน้าที่เฝ้ายาม”

“อ่า ห้า”

“มันเสี่ยงเกินไปกับการเป็นคนแรกในการย่างกรายเข้าไปสู่ที่ๆไม่รู้จัก พวกนั้นจะเป็นนกน้อยให้กับเรา หวังว่าพวกนั้นจะไม่เป็นไรนะ”

พารุพาทร้าหันไปมองด้วยดวงตาเย็นเฉียบ สายตาของเขามองไปยังที่ๆเวิร์คเกอร์เข้าไปในสุสานกำลังยืน ท่าทางที่หยิ่งยะโสของเขานั้นขัดกับผู้ชายที่ดูอารมณ์ดีและยิ้มแย้มที่มี ฉายาว่า“ผู้เฒ่า”อย่างสิ้นเชิง คนที่ไม่รู้จักเขาดีคงจะประหลาดใจ แต่เพื่อนร่วมทีมเขารู้ดี

ชายแก่ที่ชื่อพารุพาทร้านั้นเป็นคนที่ระวังตัวอย่างมาก เขาเป็นพวกที่ต้องตรวจสอบสะพานถึงสองรอบก่อนจะข้าม และนั่นคือสาเหตุที่เขาสามารถมีชีวิตรอดในฐานะนักผจญภัยมาได้อย่างยาวนาน และเขายังเคยกำจัดมังกรมาแล้วด้วย แต่ในทางกลับกัน เขาก็ได้พลาดโอกาสไปมากมายเช่นกันเพราะความระแวงของเขา อย่างไรก็ตาม เพราะเขาไม่เคยเสียเพื่อนร่วมศึกแม้แต่คนเดียวมาก่อน และนั่นทำให้สมาชิกในทีมทุกคนเชื่อความระมัดระวังของเขา แม้ว่าชีวิตจะเป็นสิ่งมีค่าที่สุดสำหรับพวกเขาก็ตาม แต่ก็ยังมีบางคนที่เสียดายที่อาจพลาดของหลายๆอย่างไป

“นี่เป็นโอกาสที่จะหาของดีๆหลายอย่างเลยนะ ไม่คิดว่ามันคุ้มกับการเสี่ยงรึ”

“เจ้าก็พูดไม่ผิด แต่ดูสุสานแห่งนี้สิ ไม่คิดว่ามันสะอาดเกินไปรึ ถ้ามีอะไรบางอย่างคอยทำความสำอาดมันหล่ะก็ มันจะต้องมีสัตว์ประหลาดออกมาทักทายแน่ๆ มันคงจะดีที่สุดแหละที่เราปล่อยให้ทีมอื่นตรวจสอบว่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้น คืออะไร โดยส่วนตัวแล้ว ข้าเองก็ไม่ชอบคำขอแบบนี้หรอก มันมีสิ่งที่เราไม่รู้เยอะเกินไป”

สมาชิกในทีมต่างตอบสนองกันคำบ่นของพารุพาทร้า

“แต่ลุงก็รับมันอยู่ดีหนิ”

“นั่นก็เพราะมีทีมอื่นรับมันด้วยหน่ะสิ ในกรณีเลวร้ายที่สุด เราก็ใช้พวกเขาเป็นเหยื่อล่อแล้วเราก็หนีไป”

ทีมของเขาได้เดินออกจากบันได

“นั่นเป็นสาเหตุที่ลุงเสนอพื้นผิวรึ เพื่อที่พวกเราจะได้หนีได้ถ้าได้ยินเสียงร้องของพวกนั้น”

“นั่นก็ด้วย แต่ข้าคิดว่ามันเป็นการเดิมพันนะ... อย่างที่เจ้าบอก เราอาจจะพลาดของหลายๆอย่าง ถ้าเรามีข้อมูล มันคงจะปลอดภัยกว่านี้ แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผลตอบแทนจะมากพอจะคุ้มความเสี่ยงหรือไม่ ถ้าเจ้าเป็นฝ่ายถูก ข้าก็ต้องขออภัยด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกผู้เฒ่า พวกเราเชื่อใจคุณ เพราะในหลายๆครั้ง คุณเป็นฝ่ายถูก”

“แล้วก็ แม้เราจะพลาดไปในวันนี้ แต่เราก็สามารถหางานอื่นที่ทำเงินได้อยู่ดี อย่างที่คุณเคยบอกไว้ ตราบใดที่ยังไม่ตาย โอกาสทำเงินก็ยังมีเสมอ เพราะฉะนั้น มันไม่มีความจำเป็นที่จะบุ่มบ่ามเข้าไป”

“คิดถึงจังเลยแฮะ นั่นมันคำพูดตอนเราหนุ่มๆหนิ”

“55 แกไม่คิดว่าแกยังหนุ่มเรอะ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิผู้เฒ่า คุณไม่ใช่คนที่ควรพูดคำนั้นนะ”

ทั้งทีมมุ่งหน้าไปที่ที่เก็บศพขณะกำลังยิ้มเล็กน้อย

“แต่ข้าก็ควรปรึกษากับพวกเจ้าก่อนตัดสินใจอยู่ดีหน่ะแหละ ข้าต้องขอโทษด้วยที่ตัดสินใจโดยพละการ”

“มันก็ช่วยไม่ได้หรอกในสถานการณ์นั้น อีกอย่าง ผู้เฒ่าเป็นหัวหน้าเรานะ ถ้าท่านสั่งอะไรพวกเราก็ทำตามอยู่แล้ว”

“……พวกแกดูไม่ดีใจเลยนะ ทำไมทุกคนยิ้มแบบนั้นหล่ะ เอาเหอะ เรามาสำรวจให้เสร็จๆดีกว่า แล้วถ้าเวลาเหลือ เดี๋ยวไปขอให้โมมอนมาซ้อมกันอีกทีดีกว่า นี่เป็นโอกาสทองของพวกแกเลยนะ”

“ผมจำตอนที่พวกคุณซ้อมกันได้นะ มันเป็นการดวลที่คู่ควรกับตำแหน่งนักผจญภัยระดับอดามันไทต์เลย”

“….ในบรรดานักผจญภัยระดับอดามันไทต์ก็มีคนหลายแบบนะ แต่ตอนนี้ เอท ริปเปิ้ล(Eight Ripples)ของจักรวรรดิไม่น่าใช่ปาร์ตี้ระดับอดามันไทต์นะ มันต้องแบบโมมอนต่างหากที่ใช่ เป็นคนที่สามารถทำสิ่งที่ข้าเองก็ทำไม่ได้”

“ผู้เฒ่า…….”

“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องเป็นห่วงมากนักหรอก ถ้าข้ายังอยู่ในช่วงยุคทองข้าคงจะอิจฉา แต่ตอนนี้ข้ามันก็แค่คนแก่ ข้าไม่ได้ช็อกมากนักหรอก ข้าเห็นนักผจญภัยระดับอดามันไทต์มาหลายคนแล้ว แต่โมมอนนั้นก็ถือว่าพิเศษแม้แต่ในบรรดาพวกนั้น ข้ารู้สึกว่า เขานี่แหละของจริง”

“จริงรึ”

“แน่นอน พวกเจ้าน่าจะขอให้เขาช่วยดูวิชาดาบให้นะ ถ้าพวกเจ้ายังคงผจญภัยต่อหลังข้าตายไปแล้ว ประสบการณ์นั้นจะประเมินค่าไม่ได้เลยในอนาคต”

“ผมนึกถึงการที่ผู้เฒ่าตายไม่ออกเลย มันคงเป็นการเกษียณที่ดีมากกว่ามั้ง”

“ใช่แล้ว ผู้เฒ่าคงอายุยืนเหมือนพาราดีน(Paradyne)แน่นอน”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่หรอก แบบนั้นก็มากไป เขาอยู่คนละระดับกันเลย”


“เป็นทีมที่ดีจังเลยนะคะ”

จู่ๆก็เสียงผู้หญิงปรากฎให้ได้ยิน ในบรรดาพวกเขา ผู้หญิงนั้นมีแค่สองคนจากทีมฟอร์ไซต์ของเฮกเครัน และเอลฟ์ที่เป็นทาสสามตนจากทีมเทนมุของเอรุยะ แต่เสียงที่ได้ยินนั้นแตกต่างจากทั้งหมดนั่นโดยสิ้นเชิง

ทุกๆคนหันหลังกลับไปพร้อมกับอาวุธในมือที่เตรียมพร้อม

มีผู้หญิงจำนวนหนึ่งยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของบันไดของมหาสุสานที่พวกเขาเพิ่ง เดินลงมา พวกเธอนั้นมีด้วยกันห้าคนซึ่งทุกคนนั้นสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อแต่นั่นทำให้ มันแปลกมาก

พวกเธอทุกคนใส่ชุดเมด แต่ผ้าของชุดของพวกเธอนั้นพวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ผ้าพวกนั้นมีประกายแวววาวของโลหะซึ่งทำให้พวกมันดูเหมือนชุดเกราะมากกว่า

“พวกเธอ…..เป็นใครกัน? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย หืมมมม แสดงว่ามีอุโมงค์ลับอย่างที่ข้าคาดไว้จริงๆ”

“ผู้หญิงเหรอ พวกเธอดูดีพอๆกับคนสวยของดาร์กเนส(Darkness)เลยนะเนี่ย…แต่พวกเธอไม่น่าใช่คนธรรมดาแน่”

“พวกเธอดูไม่เหมือนศัตรูเลย…..แต่ก็ไม่น่าใช่คนที่ถูกจ้างโดยคนที่จ้างเรานะ”

“ทำไงกันดี ผู้เฒ่า”

สหายศึกถามพารุพาทร้าขณะที่ยังคงมองไปที่พวกเธอ การเจรจากับพวกเธอนั้นคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ว่ามันคงจบไม่สวยแน่

“จำนวนคนเราเท่ากันเลย….แบบนี้เรียกสูสีได้มั้ยเนี่ย”

ความแข็งแกร่งของศัตรูนั้นคงจะเท่ากับหรือมากกว่าพวกเขา เหตุผลที่พวกเธอไม่โจมตีขณะที่เหล่าเวิร์คเกอร์อยู่ด้วยกันคงเป็นเพราะพวก เธอไม่แข็งแกร่งพอที่จะจัดการทุกคนได้ หรือไม่พวกเธอก็คิดว่ามันเป็นกับดัก เหตุผลที่พวกเธอปรากฏตัวออกมาในที่สุดคงเป็นเพราะพวกเธอมั่นใจว่าสามารถเอา ชนะกลุ่มของพวกเขาได้

พารุพาทร้านั้นเหงื่อออกน้อยลงเรื่อยๆในขณะที่เขาอายุมากขึ้น แต่ในเวลานี้ มือของเขาที่กำลังถือหอกนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“ถึงงั้นก็เถอะ การที่เอาเมดมาไว้ในสุสานเนี่ย …. ใครบางคนมีรสนิยมที่แปลกจังเลยนะ”

ทันใดนั้นเอง คนที่พูดเล่นอยู่เมื่อครู่ก็ตัวสั่นในทันที สีหน้าของเขาซีดลงและหน้าผากของเขาก็เปี่ยมไปด้วยเหงื่อ

พารุพาทร้าเองก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่พุ่งเข้ามาหาเขา แต่เหตุผลที่เขาขนลุกไปทั้งตัวนั้นไม่ใช่เพราะอุณหภูมิเพียงอย่างเดียว
ความเย็นชาจากสายตาของเหล่าเมดที่ยืนเรียงกันอยู่ที่ด้านบนสุดของบันไดนั้น สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้แสงจันทร์ ราวกับว่าตาของพวกเธอนั้นกำลังเปล่งแสง

ฆ่าพวกมัน

“….พวกมันต้องตาย”

“พวกมันไม่คู่ควรกับการตายอย่างรวดเร็ว พวกมันจะต้องลิ้มรสความเจ็บปวดเกินจินตนาการก่อนตาย”

รังสีสังหารปริมาณมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากเหล่าเมด มันรวมกันเป็นวังวนของอารมณ์อันเข้มข้นซึ่งทำให้คนที่ได้สัมผัสคิดว่าโลกอาจ จะพังทลายได้ทุกเมื่อ

“เอาหล่ะ เอาหล่ะ”

เมดที่ดูจะเป็นหัวหน้าได้ปรบมือเบาๆ

“พวกเราได้รับคำสั่งว่าห้ามปล่อยให้รอดแม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้นเราต้องฆ่าพวกเขาอยู่แล้ว แต่มันก็ดีมากเลยที่เห็นทุกคนกระตือรือร้นขนาดนี้”

เคร้ง!! เสียงโลหะดังออกมาจากบันไดซึ่งดูเหมือนทำมาจากหินอ่อน มันคือรองเท้าส้นสูงของเหล่าเมดซึ่งให้ภาพลักษณ์เหมือนกับเกราะส่วนขา

ลูกทีมของพารุพาทร้าถอยหลังไปราวกับถูกดัน เมื่อพิจารณาจากการที่ฝั่งตรงข้ามไม่ถืออาวุธ แสดงว่าพวกเธอนั้นอาจจะเป็นนักเวท และที่สำคัญ ฝั่งตรงข้ามยังได้เปรียบด้านชัยภูมิที่สูงกว่า พวกเขาไม่สามารถที่จะยืนทะเล่อทะล่าอยู่ในพื้นที่กว้างโล่งโดยปราศจากที่ กำบัง

สำหรับพารุพาทร้าและทีมของเขานั้นการย่นระยะเข้าไปจะทำให้พวกเขาได้เปรียบ สำหรับเหล่าเมดนั้นมันตรงข้ามกัน แต่ทำไมพวกเธอถึงเดินลงบันไดมา?พวกเธอวางแผนจะใช้ “ไฟลท์”(Flight)ถ้าสถานการณ์ไม่อำนวยอย่างนั้นหรือ

ขณะที่กำลังดูเหล่าเมดซึ่งดูไร้อารมณ์ราวกับสวมหน้ากากเดินลงบันได ทีมของพารุพาทร้าก็ได้ไปรวมตัวกันหลังโลห์ของนักรบและหารือถึงขั้นตอนต่อไป

เคร้ง! เสียงนั้นได้ดังกว่าเก่า เหล่าเมดได้หยุดเดินที่ประมาณครึ่งทางของบันได

“เอาหล่ะ ขอแนะนำตัวนะคะ ดิฉันเป็นรองหัวหน้าของเมดนักรบ ยูริ อัลฟ่า ถึงแม้เราจะได้พบกันแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่ก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ ถ้าพวกเราตัดสินใจที่จะจัดการด้วยตัวเองแล้วมันคงจะจบลงอย่างรวด
เร็วแน่นอนค่ะ แต่เรื่องด้วยอะไรหลายๆอย่าง พวกเราจึงไม่สามารถจัดการกับพวกคุณเป็นการส่วนตัวได้ ช่างน่าเสียดายนะคะ”

เสียงอันไพเราะดังกังวานราวกับเสียงระฆังในสายลม เหล่าเมดที่สะสวยอย่างไม่น่าเชื่อได้ส่งรอยยิ้มอันดึงดูดซึ่งสามารถทำให้ ผู้ชายคนใดก็ตามตกหลุมรักได้ในทันที

พารุพาทร้าเคยเป็นนักผจญภัยมาก่อนและได้พบเห็นอะไรมากมายตลอดอาชีพของเขา ในบรรดาสิ่งเหล่านั้น มีสิ่งที่งดงามเหนือมนุษย์มากมาย ตัวอย่างเช่นเอลฟ์ ถึงแม้อย่างนั้น เขาก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยขนาดนี้มาก่อน ซึ่งสวยขนาดทำให้อ้าปากค้างได้เลยทีเดียว

น้ำเสียงที่พวกเธอใช้มีความรู้สึกดูถูกและให้ความรู้สึกเหนือกว่าซึ่งมัก เป็นความหยิ่งยะโสของผู้ที่แข็งแกร่งที่ซ่อนสิ่งเหล่านั้นไว้ใต้ใบหน้าที่งด งาม มันเป็นทัศนคติที่เข้ากันไม่ได้กับผู้ชายที่กล้าหาญและผ่านสมรภูมิมามากมาย และมั่นใจในฝีมือของตนเองซึ่งมันทำให้พวกเขาอยากเอาเรื่องพวกเธอขึ้นมาเลยที เดียว

แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว มันเป็นไปได้ว่าเหล่าเมดนั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขาและไม่มีใครกล้าพอจะสู้กับ พวกเธอ อีกอย่าง มีสหายศึกของพวกเขาที่ถูกกดดันด้วยรังสีอำมหิตและยังไม่หลุดจากความกลัวอีก ด้วย ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการล่าถอยไปหานักผจญภัย โดยเฉพาะโมมอน และพาพวกเขามาในฐานะกำลังเสริม

“เอาหล่ะ เช่นนั้นแล้ว ดิชั้นจะขอแนะนำคู่ต่อสู้ของพวกคุณนะคะ”

ยูริปรบมือของเธอ และราวกับตอบสนองต่อเสียงนั้นซึ่งเดินทางอย่างรวดเร็ว สุสานได้สั่นสะเทือน

“จงออกมา นาซาริก โอลด์ การ์ดเดอร์(Nazarick Old Guarders)”
อะ….ไร….กัน
ผืนดินได้แยกออกเบื้งหลังพวกเขาและมีโครงกระดูกจำนวนนึงโผล่ออกมา
วงล้อมงั้นเหรอ อะไร...
มองขึ้นไปยังบันได เหล่าเมดนั้นเป็นศัตรูแน่นอน แต่ดูเหมือนพวกเธอจะไม่อยากสู้ด้วยตัวเอง พวกเธอดูเหมือนจะเป็นแค่ผู้ชมเท่านั้น เขาไม่อยากจะเมินพวกเธอ แต่ดูเหมือนพวกเธอจะไม่โจมตีอย่างที่ประกาศไว้ พารุพาทร้าจึงสรุปว่าศัตรูคือเหล่าโครงกระดูกด้านหลังและหันไปเผชิญหน้ากับพวกมัน
สเกเลตัน(Skeleton)ธรรมดานั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ยากลำบาก ถึงแม้พวกมันจะมาเป็นร้อยแต่พวกเขากูสามารถจัดการพวกมันได้หมดอย่างง่ายดาย เช่นนั้นแล้ว สเกเลตั้น(Skeleton)แปดตัวบนพื้นดินไม่ใช่อะไรมากเลย
แต่มีปัญหาอยู่ข้อนึง
เพื่อนๆของพารุพาทร้าก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
บรรยากาศรอบๆตัวพวกมันแตกต่างจากสเกเลตั้น(Skeleton)ทั่วๆไปมาก แม้กระทั่งอุปกรณ์ก็แตกต่างออกไป พวกมันสวมเสื้อเกราะที่ดูเทียบเท่ากับองครักษ์ของวังหลวง ถือโลห์รูปว่าว(Kite Shield)ที่มีตราสัญลักษณ์ประดับไว้ในมือหนึ่งข้างและอาวุธหลากประเภทไว้อีกข้าง บนหลังของพวกมันมีธนูยาว และอุปกรณ์ทั้งหมดส่องประกายแสงของเวทมนตร์
มันไม่มีทางที่สเกเลตั้น(Skeleton)ที่มีอุปกรณ์เวทมนตร์จะเป็นสเกเลตั้น(Skeleton)ธรรมดาแน่
นั่นมันอะไรกัน
แม้แต่คุณก็ไม่รู้เหรอผู้เฒ่า ผมก็ไม่แน่ใจ บางทีมันอาจจะเป็นสายพันธ์รองของสเกเลตั้น วอริเออร์(Skeleton Warrior)”
สายพันธุ์รองงั้นรึ พวกมันดูไม่เหมือน เรด สเกเลตั้น วอริเออร์ด้วย (Red-Skeleton Warrior)”
กับศัตรูไม่รู้ที่มาและไม่เคยเจอมาก่อนนั้นสร้างความกลัวให้พวกเขา โดยเฉพาะการที่พวกมันถืออาวุธเวทมนตร์ที่มีความสามารถพิเศษ
“—เมื่อพิจารณาจากจำนวนที่พวกคุณมีนั้น ดิชั้นเห็นว่านี่เป็นจำนวนที่เหมาะสมนะคะ ช่วยกรุณาพยายามมากๆด้วย มาดูกันหน่อยซิว่าพวกคุณจะหนีไปได้ถึงไหน
เป็นเกียรติมากเลยดีได้เจอกับอันเดทระดับนี้ แต่ว่านะ…”
  พารุพาทร้าคิดอย่างหนัก
มันเป็นการยากที่จะให้อันเดทครอบครองอุปกรณ์เวทมนตร์จำนวนมาก แผนของพวกเธอคงจะเป็นการส่งพวกที่เก่งที่สุดออกมาตั้งแต่แรก เพราะไม่อย่างนั้น พวกเธอคงไม่รอจนพวกเขาเข้าไปด้านในและแยกย้ายกันก่อน
“—แสดงว่าพวกนี้เป็นสิ่งที่เป็นไพ่ตายของสุสานสินะ คิดว่าของแค่นี้จะหยุดพวกเราได้อย่างนั้นรึ
เมื่อเขามองขึ้นไป ยูริก็มองไปรอบๆตัวเธอ ราวกับว่าคำพูดนั้นถูกต้อง
โป๊ะเช๊ะ. แสดงว่าพวกนั้นได้วางกับดักตั้งแต่เริ่มคุยกับเรา
ทางเลือกที่ฉลาดที่สุดในการใช้ความแข็งแกร่งของพวกเขาในตอนนี้คือการใช้แผนแบ่งแยกและโจมตี เมื่อพิจารณาถึงโอกาสที่พวกเขาจะไม่ไปเจอศัตรูนั้น กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการรออยู่ที่ทางเข้าหลักที่ทุกๆคนต้องใช้ผ่านเมื่อเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจจากการสำรวจสุสาน
แผนของศัตรูก็แปลกเช่นกัน คิดว่าเธอได้พูดว่า มาดูซิว่าคุณจะหนีได้ถึงเมื่อไหร่เพื่อทำให้พวกเขาเริ่มถอย ซึ่งพวกเธอจะได้โจมตีจากด้านหลังซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้เปรียบ ศัตรูยังคงจะต่อสู้อีกหลายครั้งหลังจากนี้ด้วยพวกเขาจึงควรจะสงวนแรงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ต้องทำก็มีแค่อย่างเดียว
แสดงว่า...ถ้าพวกเราล้มโครงกระดูกเหล่านี้และฝ่าออกไปได้ ทุกอย่างก็จบสินะ
เพื่อทีมที่จะตามมาหลังพวกเขาแล้วพวกเขาต้องจัดการเหล่านาซาริก โอล์ด การ์ดเดอร์ทิ้ง ถึงพวกเขาจะเป็นคู่แข่ง แต่ก็ถือเป็นสหายด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่ายตรงข้ามคงคิดเผื่อกรณีที่พวกเขาจะหนี การอยู่และสู้คงจะมีโอกาสน้อยที่พวกเขาจะเจอกับดักอีก และถ้าศัตรูแกร่งเกินไป พวกเขาก็ยังมีทางเลือกสุดท้ายคือเรียกโมมอน
การที่พวกเราเป็นนกซะเองเนี่ย จะพูดยังไงดีนะ มันทำให้ข้าปวดหัวเลยหล่ะ แล้วพวกเจ้าคิดว่ายังไงกันบ้าง
มันก็ยากที่จะคิดว่าจะมีพวกอันเดทที่มีอุปกรณ์ระดับนั้นอยู่อีกนะครับ
นี่เป็นที่ๆผู้บุกรุกทุกคนต้องผ่าน พูดตามกลยุทธ์แล้ว มันก็สมควรที่จะวางกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดไว้ตรงนี้ พวกนั้นรู้จักสถานที่มากกว่าเรา และผมก็ยังสงสัยด้วยว่าพวกเธอจะทำพลาดอย่างการแบ่งกำลังของพวกเธอออกมากไปหรือเปล่า
...ไม่หรอก คิดว่าข้างในคงมีมากกว่านี้แหละ แต่คงเป็นพวกอันเดทระดับต่ำ
ผู้เฒ่า....วิ่งเหอะ พวกนี้มันอันตรายนะ มากด้วย
ทางหนีของเราหมดลงทั้งแต่ตอนที่พวกนั้นล้อมเราได้แล้ว ต่อให้พวกเราบินได้ พวกนั้นก็คงสอยเราด้วยธนูอยู่ดี พวกเราต้องยืนหยัดอยู่ตรงนี้ ไม่มีทางอื่นนอกจากกำจัดพวกนี้ทิ้งแล้ว
ตอบสนองต่อเสียงตะโกนของพารุพาทร้า เสียง ที่มีทั้งประหลาดใจ และไม่พอใจ ดังมาจากด้านบน
ก็นะ มันก็มีทางฝ่าออกไปอยู่หรอกค่ะ พวกเราจะคอยเอาใจช่วยนะคะ เช่นนั้นก็เริ่มได้ค่ะ
หลังจากคำพูดจางหายไป เหล่านาซาริก โอลด์ การ์ดเดอร์ก็เริ่มออกเดิน
ยูริและพรรคพวกทำหน้าปั้นยากขณะที่กำลังพูดว่าจะให้กำลังใจ พวกเธอไม่สามารถเก็บสีหน้าประหลาดใจจากความเกินคาดของสถานการณ์ที่เป็นไปในทางไม่คาดคิด
เฮ้ พวกนั้นเอาจริงเหรอ
เกินคาด
ท่านโคคิวทัสก็ประหลาดใจเช่นกัน
ถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไป มันจะไม่เป็นไปตามแผนนะ
ค้อนได้ถูกเหวี่ยงผ่านอากาศในขณะที่ยูริและเพื่อนของเธอกำลังดู
เขาไม่ไหวแล้วหล่ะ ต้องตายแน่เลย

ทันทีที่รูปุสเรจิน่าพูดจบ ผู้ชายคนหนึ่งก็รับการโจมตีเข้าไปที่หน้าอกและล้มลง

เสียงโลหะถูกบดขยี้และเสียงของหนักๆร่วงลงพื้นสามารถได้ยินอย่างชัดเจนแม้กระทั่งในพื้นที่การต่อสู้ที่ดุเดือด

ผู้เคราะห์ร้ายคนแรกของนาซาริก โอลด์ การ์เดอร์เป็นนักรบเผ่ามนุษย์ นาซาริก โอลด์ การ์ดเดอร์ที่ถือค้อนที่อาบด้วย “สายฟ้า” ไม่แม้แต่จะฉลองชัยที่ได้ฆ่าและเริ่มขยับเพื่อหาเป้าหมายต่อไป

“คุณ เคลริก(Cleric)ค้าาา ถ้าคุณเขาเร็วพอเขาก็จะไม่ตายนะคะ”

ชิซุส่ายหัวให้ยูริที่แสดงท่าทางกังวล

“....ไม่มีประโยชน์ ตายคาที่ อีกอย่าง รูปขบวนก็พังลงเพราะเขา”

นาซาริก โอลด์ การ์ดเดอร์สองตนซึ่งนักรบเคยได้รับมือไว้เริ่มบุกต่อ หนึ่งตัวมุ่งหน้าไปหาเคลริก(Cleric) ในขณะที่อีกตัวมุ่งหน้าไปหาแถวหลังของปาร์ตี้

เคลริก(Cleric)ซึ่งต่อสู้กับศัตรูสองตัวตั้งแต่เริ่ม มาตอนนี้ต้องสู้เพิ่มอีกหนึ่งตัว เขาไม่มีช่องให้ใช้เวทมนตร์อีกต่อไป สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือพยายามหลบการโจมตีที่พุ่งเข้ามาจากทั้งสามทิศทาง

แม้แต่พารุพาทร้าซึ่งถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ก็กำลังต่อสู้กับศัตรูถึงสามตัวและไม่สามารถไปช่วยคนอื่นได้เช่นกัน

“ดูเหมือนโจร(Rouge)จะไม่ค่อยมีพลังโจมตีเลยนะ พวกเขาไม่มีไพ่ตายอะไรซ่อนอยู่ในกระเป๋าเลยเหรอ”

ตอนนี้โจรที่กำลังต่อสู้เพื่อป้องกันนักเวทอยู่นั้นต้องรับมือกับศัตรูเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัวจากที่เขากำลังรับมืออยู่แล้วสอง อาวุธเบาของเขานั้นไม่สามารถที่จะทำความเสียหายหนักๆให้แก่นาซาริก โอลด์ การ์ดเดอร์ ศัตรูที่ใส่ชุดเกราะหนักและเป็นอันเดทซึ่งไม่มีจุดอ่อนที่ชัดเจน เขาพยายามหลบหลีกด้วยร่างกายที่บอบบาง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอันเดทที่ไม่รู้จักเหนื่อยแล้ว การต่อต้านนั้นไร้ประโยชน์

“ดูสิ เขากำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าที่สิ้นหวังหล่ะ”

“เราควรโบกมือให้เขาหน่อยมั้ย?”

“ถ้าแค่นั้นก็ไม่เป็นไร”

“ถ้ามันโอเคหล่ะก็”

รูปุสเรจิน่าโบกมือให้พารุพาทร้าพร้อมรอยยิ้มที่สดใสร่าเริง

ตูม!!!

“...โดนเต็มๆ”

“เพราะลูปุไปดึงความสนใจเขานะสิ”

“บู่~~ นี่ฉันผิดเหรอ”

“..ใช่ ความผิดเธอเลย แต่การเชียร์มันเป็นเรื่องดีนะ ไปเลย ทุกๆคน”

“ใช่แล้วค่ะ ฉันหวังว่าทุกคนจะสู้อย่างกระตืนรือร้นนะคะ”

เมดทุกคนพยักหน้าให้คำพูดของยูริ

ในการต่อสู้กับทีมของพารุพาทร้านั้น นาซาริก โอลด์ การ์ดเดอร์เป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างท่วมท้นตั้งแต่เริ่ม ยูริและเหล่าเมดเกือบจะเกิดความรู้สึกเวทนาต่อเหล่าเวิร์กเกอร์ในระหว่างที่ชมเกมที่สามารถอธิบายได้อย่างเดียวว่า ไล่ถลุงอยู่ฝ่ายเดียว

ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น พวกเธอได้หัวเราะเยาะเย้ยให้กับความกล้าหาญอันไร้ประโยชน์ที่เหล่าเวิร์กเกอร์ได้แสดงออกมา
แต่เมื่อได้ดูการต่อสู้อันน่าเบื่อนี้แล้ว พวกเธอก็ไม่สามารถกลั้นการหาวและเริ่มเชียร์ทีมพารุพาทร้าแทน

“ถ้ามันเป็นการถล่มฝ่ายเดียวแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน”

“....ไม่มีไพ่ที่ซ่อนไว้เหรอ”

“ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่พวกเขาพยายามใช้เวทอัญเชิญเหรอ”

“เวทระดับสามอันนั้นเหรอ”

“มันไม่เบาเกินไปที่จะเรียกว่าไพ่ตายเหรอ แต่การพยายามสร้างกำแพงด้วยสัตว์ประหลาดอัญเชิญก็เป็นเรื่องดีนะ”

“ใช่แล้วหล่ะ ถ้าพวกนั้นไม่โดนจู่โจมกระทันหันละก็ พวกเค้าอาจจะมีเวลาที่จะวางแผนแล้วก็จัดรูปขบวนใหม่นะ”

แต่การพยายามใช้ ไฟลท์(Flight) ไม่ใช่ความคิดที่ดีอย่างที่คนแก่นั่นพูด

“ไม่แน่ใจว่าเขาพยายามหนีหรือจะใช้เวทจากกลางอากาศ”

“...เป้าหมายหลักไม่มีการคุ้มกันเลย”

นักร่ายเวทได้รับความเสียหายถึงจุดวิกฤติและได้ล้มลงไป ถ้ามีใครที่กำลังว่าง เขาก็คงจะใช้เวทฮีลหรือโพชั่นเพื่อนำนักเวทกลับมาอยู่ในรูปขบวน แต่เมื่อทุกๆคนกำลังยุ่งเกินไป ผลลัพธ์ก็คือ สิ่งที่โจรสามารถทำได้ก็คือมีแค่การป้องกันจากการโดนโจมตีเผด็จศึก

“ว่าแต่ว่า ทำไมพวกนั้นถึงคิดว่าจะมีนาซาริก โอลด์ การ์ดเดอร์จำนวนแค่นี้หล่ะ”

มันก็เป็นปริศนาอยู่

พวกเขาคิดว่าทุกอย่างจะเข้าทางพวกเขาหมดเหรอ มันคงไม่ใช่ว่าพวกเขาโง่หรอก มันคงเป็นเพราะมนุษย์บางคนวิธีมีการ ปลอบใจตัวเองเพื่อไม่ให้เขาร่วงลงไปในความสิ้นหวัง

“มันดูสิ้นหวังมากเลย”

“ดูเหมือนว่ามันใกล้จบแล้วหล่ะ”

กลยุทธ์อื่นอย่างเช่นการตั้งรับจนกว่าคนอื่นจะมาถึงก็ดีเหมือนกันนะ

ทุกๆคนมองไปยังเอนโทม่าด้วยประกายตาเย็นยะเยือก

“ทำไมเธอถึงคาดว่าพวกนั้นจะกลับมา”

“....พวกนั้นเลือกทำเอง”

“มันคงจะยากเกินไปกับการหนีออกจากมหาสุสานแห่งนาซาริก”

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาและเสียงการล้มก็ดังตามมา

เหล่าเมดนักรบมองไปทางต้นเสียงและพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

อ๋า โจรก็ร่วงไปซะแล้ว

“มันคงใกล้จะจบแล้วหล่ะ”

“เราน่าจะหยุดให้พวกเขาร้องขอชีวิตตรงบันไดนะ”

“ก็พวกเขาดูมั่นใจมากนะ ชั้นก็นึกว่าพวกเค้ามีทีเด็ดอะไรนะสิ”

ไม่แน่ใจว่ามาจากโจรหรือเปล่า แต่กลิ่นของเนื้อและเลือดกระจายไปจนถึงที่ๆเมดยืนอยู่

น่าอร่อย

“ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ”

ยูริหยุดเธอไว้

คำสั่งจากนายของพวกเธอคือให้นำร่างกลับมาไม่ว่าเป็นหรือตาย

พวกเธอไม่สามารถทำเรื่องเสียมารยาทอย่างการนำร่างไปให้หลังจากมีแมลงกินแล้ว

“เนื้อ สดๆ” (ลองนึกถึงเสียงPudgeหรือButcherในดอทดูนะครับ////ผู้แปล)

“ฉันจะถามท่านไอนส์ให้ทีหลัง เพราะงั้นใจเย็นก่อนนะ”

“แต่ไม่ใช่ว่าเรามีปัญหาเหรอ เพราะจุดประสงค์ตั้งแต่แรกคือการทดสอบว่าจะจัดการพวกที่หนีได้ดีแค่ไหนหน่ะ”

“ใช่ไง นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมอันเดทจำนวนมากถึงถูกซ่อนด้วยกำแพง”

“ดูเหมือนท่านโคคิวทัสจะคำนวณว่าท่านจะจับพวกมันได้ง่ายๆ”

“..การที่พวกนั้นโจมตีซึ่งๆหน้า เกินคาด”

“ดูเหมือนว่ามันเกิดขึ้นเพราะเธอไม่ได้วิเคราะห์ความแข็งแกร่งของศัตรูให้ดีๆ สำหรับคนที่ยังไม่ตาย
ให้ฮีลพวกมันและนำไปส่งยังห้องสอบสวน ส่วนพวกที่ตาย ไปรายงานท่านไอนส์กัน”

และด้วยเหตุนั้น ทีมของพารุพาทร้าได้หายตัวไม่จากโลกในคืนนั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น