Overlord Volume 5 Prologue
Copy from Link
เขาเงยหน้าขึ้นพบกับเมฆสีดำปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า หมอกจากสายฝนแผ่ขยายออกมา เมื่อได้เห็นโลกสีเทาที่แผ่ขยายไปทั่วสายตา หัวหน้านักรบ กาเซฟ สโตรนอฟ เดาะลิ้นอย่างไร้ความหมาย
ถ้าเพียงแค่เขาออกไปเร็วขึ้นอีกหน่อย เขาอาจไม่ต้องเจอฝนแล้ว
แม้ว่าเขาจะกวาดตามองไปทั่วท้องฟ้าเพื่อมองหาที่โปร่ง เมฆหนานั้นก็ปกคลุมไปทั่ว เมืองหลวงของราชอาณาจักรรี-เอสไทซ์ และไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุดตกง่ายๆ
เมื่อตัดสินใจว่าจะไม่รอฝนหยุดที่ราชวัง เขายกฮู้ดที่ติดกับเสื้อขึ้นสวมและก้าวออกไปสู่สายฝน
เขาผ่านยามเฝ้าประตูราชวังที่เพียงแค่เหลือบมองใบหน้าของเขา และมุ่งหน้าไปยังใจกลางของเมืองหลวง
ปกติแล้วสถานที่นี้จะพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่คึกคักจนแทบไม่มีที่ว่างแม้แต่น้อย แต่ในขณะนี้มีเพียงไม่กี่คนที่เดินอย่างระวังไม่ให้ลื่นพบพื้นที่เจิ่งนอง
เพียงแค่เห็นจำนวนผู้คนที่บางตา เขาก็คาดเดาได้ว่าฝนจะตกนานแค่ไหน
ช่วยไม่ได้แฮะ ถึงออกมาเร็วอีกหน่อยก็คงไม่ต่างกัน
เนื่องจากเสื้อโค้ทของเขาหนักขึ้นเพราะฝน เขาเดินผ่านผู้คนไปอย่างเงียบๆ แม้ว่าเสื้อของเขาสามารถใช้กันฝนได้ แต่สัมผัสเปียกชื้นที่หลังทำให้เขารู้สึกไม่ดี กาเซฟเร่งความเร็วขึ้นเพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้าน
เมื่อเข้าใกล้บ้านของเขา ความคิดที่ว่าจะได้ถอดเสื้อเปียกๆนี้ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งด้านข้าง เขามองเห็นเงาเล็กๆสีดำที่ถนนแคบๆทางด้านขวา ที่นั่นมีชายหนุ่มโทรมๆที่เปียกปอนโผล่ออกมาจากข้างถนน
ผมของเขานั้นถูกย้อมอย่างหยาบๆ ทำให้สีผมธรรมชาติสามารเห็นได้ทั่วทั้งหัว ผมของเขาเปียกโชกจนตกลงมาปรกทั่ว ใบหน้าของเขาก้มลงเล็กน้อยและไม่สามารถเห็นได้จากตรงนี้
เหตุผลที่กาเซฟหยุดมองชายคนนี้ไม่ใช่เพราะว่ามันแปลกว่าจะมีคนที่ออกมาข้างนอกอยู่โดยไม่มีเสื้อกันฝน เขาเพียงรู้สึกถึงบางอย่างที่แผ่ออกมาจากที่นั่น ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังสิ่งที่ชายหนุ่มถือไว้ในทางขวา
เสมือนเด็กน้อยที่จับมือแม่ของเขา ในมือของชายหนุ่มถืออาวุธที่ไม่เข้ากับสภาพโทรมๆของเขาเอาไว้ มันคืออาวุธที่หายากมากที่เรียกกันว่า คาตานะ มันถูกสร้างในดินแดนทะเลทรายทางใต้ที่ห่างไกลออกไป
หมอนั่นถือคาตะนะ ขโมย? ไม่สิ ความรู้สึกที่สัมผัสได้มันต่างออกไป ฉันรู้สึกยินดีที่ได้พบกับเขางั้นเหรอ?
กาเซฟรู้สึกว่ามีบางสิ่งมีบางสิ่งผิดพลาด เหมือนเสื้อโค๊ทที่ติดกระดุมผิด
เท้าของเขาหยุดลง กาเซฟจับจ้องไปยังรายละเอียดของชายหนุ่ม ในตอนนั้นความทรงจำของเขาหมุนวนเหมือนเกลียวคลื่น
“อันกลาอุส นั่นนายเหรอ?”
เขาพูดออกไปแม้ว่าในใจของเขาจะยังเต็มไปด้วยข้อสงสัย
ชายคนที่เขาเผชิญหน้าในการประลองรอบชิงชนะเลิศของราชวัง เบรน อันกลาอุส
จนถึงตอนนี้ ภาพของชายหนุ่มผู้สามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างสูสีก็ยังตราตรึงในหัวใจของกาเซฟ ศัตรูผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยเผชิญหน้านับตั้งแต่ที่เขาจับดาบและใช้ชีวิตในฐานะนักรบ --และอาจเป็นเขาฝ่ายเดียวที่คิดว่าอีกฝ่ายคือคู่แข่ง
ใช่แล้ว ชายผอมแห้งเบื้องหน้าเขามีใบหน้าใกล้เคียงกับความทรงจำของเขา
อย่างไรก็ตาม -- มันเป็นไปไม่ได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหน้าตาของเขานั้นคล้ายกันมาก แม้ว่าเวลาจะทำให้เปลี่ยนไป ร่องรอยในอดีตก็จะยังคงเด่นชัด แต่ชายในความทรงจำของกาเซฟไม่ได้มีหน้าตาน่าสงสารเช่นนี้ เขาเป็นคนที่ถูกชื่นชมสรรเสริญด้วยความเชื่อมั่นในเชิงดาบและจิตวิญญาณนักสู้ที่รุนแรงดั่งเปลวเพลิง เขาไม่มีท่าทางเหมือนลูกหมาเปียกน้ำเหมือนชายที่อยู่ตรงหน้านี้
เสียงน้ำแตกกระจายเมื่อกาเซฟเดินเข้าไปหาเขา
ชายคนนั้นค่อยๆเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนั้น
กาเซฟรู้สึกว่าลมหายใจของเขาขาดห้วงเมื่อมองไปยังชายที่อยู่เบื้องหน้า ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าชายตรงหน้าคือ เบรน อันกลาอุส นักดาบอัจฉริยะ
อย่างไรก็ตาม ความเจิดจ้าในอดีตได้จางหายไป เบรนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้กลับเป็นคนที่ล้มเหลวอย่างสมบูรณ์แบบ
เบรนก้าวเท้า เป็นการเคลื่อนที่ที่แย่มาก เหมือนกับไม่ใช่การเคลื่อนไหวของนักรบเลย ความแตกต่างนั้นสามารถเรียกได้ว่าแย่กว่านักรบแก่ๆด้วยซ้ำ เขาก้มหน้าลากเท้าหนักๆอย่างไร้คำพูด
แผ่นหลังของเขาดูจะเล็กลงท่ามกลางสายฝน กาเซฟมีลางสังหรณ์ว่าหากปล่อยไปแบบนี้พวกเขาจะไม่มีวันได้พบกันอีก เขาจึงก้าวเข้าไปหาพร้อมกับตะโกนเรียก
“อันกลาอุส! เบรน อันกลาอุส!
หากชายหนุ่มปฏิเสธ เขาจะตัดสินใจว่าคงเป็นแค่คนหน้าเหมือนแล้วเตือนตัวเอง อย่างไรก็ตาม มีเสียงเล็กๆลอยเข้าหูเขา
“...สโตรนอฟ”
มันเป็นเสียงที่ใร้ชีวิตชีวา ไม่เหมือนกับเบรนในความทรงจำที่เขาเคยประดาบเลย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เขาถามไปอย่างตกตะลึง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา?
ไม่ว่าใครก็ต้องเคยมีช่วงเวลาที่ล้มเหลวและยากลำบาก กาเซฟได้เห็นตัวอย่างมานับไม่ถ้วน คนที่มักง่ายๆจะสูญเสียทุกสิ่งเพียงแค่ความผิดพลาดครั้งเดียว
แต่เขาเป็นคนแบบนั้นเหรอ? นักดาบอัจฉริยะ เบรน อันกลาอุส ไม่ใช่คนอย่างนั้นแน่นอน หรือบางทีนี่อาจเป็นเพราะเขาไม่อยากจะเห็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอดีตตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช
ทั้งสองคนสบตากัน
ทำไมหน้าตาเขาถึงเป็นแบบนั้น?
แก้มผอมตอบ ขอบตาคล้ำดำ แววตาของเขาเป็นอย่างคนตายและไร้ซึ่งพลัง เขาเหมือนเป็นศพไปแล้ว
ไม่สิ แม้แต่ศพยังดูดีกว่าสภาพของอันกลาอุสในตอนนี้ด้วยซ้ำ
“...สโตรนอฟ ฉันพังแล้ว”
“อะไรนะ?”
สิ่งแรกที่กาเซฟทำหลังจากได้ยินประโยคนั้นคือจ้องไปที่คาตะนะในมือของเบรน แต่เขาก็รู้ได้ในทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่พังไม่ใช่คาตะนะ แต่เป็น...
“นี่ เราแข็งแกร่งใช่ไหม?”
เขาไม่สามารถตอบได้
ภาพการต่อสู้ที่หมู่บ้านคาร์เนผุดขึ้นมาในใจของกาเซฟ ถ้าหากว่านักเวทปริศนา ไอนซ์ โอวน์ โกว์น ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วย ทั้งเขาและทหารคงตายกันหมด แม้ว่าเขาจะได้ฉายาว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร แต่มันก็เท่านั้น ไม่มีวันที่เขาจะชูคอประกาศว่าตนเองนั้นแข็งแกร่ง
ต่อหน้ากาเซฟที่นิ่งเงียบ เบรนได้พูดต่อ
“อ่อนแอ พวกเราน่ะอ่อนแอ ท้ายที่สุดแล้วเราก็เป็นได้แค่มนุษย์ เหล่ามนุษย์ที่ตกเป็นเหยื่อ
มนุษย์นั้นอ่อนแออย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเปรียบเทียบกับเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างมังกร ความแตกต่างนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน มนุษย์ไม่มีเกล็ดแข็งแกร่ง กรงเล็บที่แหลมคม ปีกที่ทะยานสู่ท้องฟ้า ลมหายใจที่ทำลายได้ทุกสิ่ง ทั้งหมดนี้ไม่มีแม้แต่อย่างเดียวที่มนุษย์สามารถเทียบเคียงได้
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนักรบจึงเทิดทูนเหล่านักล่ามังกร ด้วยทักษะที่ฝึกฝนมา อาวุธ และสหายศึก พวกเขาได้รับชัยชนะต่อผู้แข็งแกร่งและนำพาความพ่ายแพ้มาสู้เผ่าพันธุ์พวกนั้น มันทรงคุณค่าและจะมอบให้กับนักรบที่โดดเด่นเท่านั้น
หรือว่าเบรนได้สู้กับมังกรแล้วพ่ายแพ้มา?
เขาเอื้อมมือขึ้นไปท้าทายเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งและพ่ายแพ้ เสียศูนย์จนกระเด็นกลับลงมาบนพื้น
“...นายพูดอะไรน่ะ นักรบทุกคนต่างก็รู้อยู่แล้วว่ามนุษย์นั้นอ่อนแอ”
ใช่แล้ว เขาไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่ว่าใครก็รู้ว่านี่เป็นโลกของผู้แข็งแกร่ง
แม้ว่าเขาจะถูกเรียกว่าแข็งแกร่งที่สุดจากประเทศรอบข้าง กาเซฟก็ยังคงสงสัยว่านั่นเป็นความจริงหรือเปล่า
ในตอนนี้มีความเป็นไปด้สูงมากว่าจักรวรรดิจะปิดบังนักรบที่แข็งแกร่งกว่ากาเซฟไว้ ไม่เพียงเท่านั้นความแข็งแกร่งของร่างกายของกึ่งมนุษย์อย่างออร์คและยักษ์ก็ห่างไกลจากขีดจำกัดของเขา ถ้าหากกึ่งมนุษย์เหล่านั้นมีทักษะแม้เพียงเล็กน้อย กาเซฟคงไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้เลย
แม้ว่าโลกจะไม่สนใจเขา แต่กาเซฟก็ยังคงตระหนักถึงการดำรงอยู่ของมัน ความเป็นจริงที่ไม่ว่านักรบคนไหนๆต่างก็เข้าใจ หรือว่าเบรนจะไม่รู้จริงๆ?
“ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นทีจะอยู่รอด ที่พวกเราฝึกฝนก็เพื่อเอาชนะพวกมันไม่ใช่เหรอ?”
ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งจะอยู่เหนือพวกมัน
แต่เบรนกลับส่ายหัวอย่างรุนแรง ทำให้หยดน้ำกระเซ็นจากผมที่เปียกโชกของเขาไปทั่ว
“ไม่ นั่นไม่ใช่ระดับที่ฉันพูดถึง!”
เขาตะโกนด้วยเสียงทั้งหมดที่มี
ภาพของชายตรงหน้าซ้อนทับกับภาพในความทรงจำของกาเซฟ แม้ว่าพลังงานของเขาจะถูกใช้ในทิศทางตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง แต่มันเป็นจิตวิญญาณเดียวกับที่พวกเขาเคยประดาบกัน
“สโตรนอฟ! นี่คือความจริง ตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์ ไม่ว่าพวกเราจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่มีวันไปถึงโลกของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ในท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็เป็นแค่เด็กที่ถือไม้ แม้ว่าในตอนนี้เราจะถือดาบแต่ก็ยังคงเป็นแค่เด็กน้อยที่เล่นเป็นนักดาบอยู่ดี”
ดวงตาที่เยือกเย็นไร้อารมณ์จับจ้องไปที่กาเซฟ
“...ฟังนะ สโตรนอฟ นายก็มีความมั่นใจในฝีมือดาบเหมือนกันใช่ไหมล่ะ? แต่...มันไม่มีความหมาย นายก็แค่กำลังหลอกตัวเองว่ากำลังปกป้องผู้คนด้วยสิ่งไร้ประโยชน์ในมือ”
“...นายไปเห็นสิ่งที่เหนือกว่าสุดๆมาเหรอ?”
“ฉันเห็นและรู้ได้เลย มันเหนือกว่าในระดับที่มนุษย์ไม่มีวันเข้าถึงได้ ที่จริงแล้ว---“
เบรนหัวเราะเยาะตัวเอง
“ฉันเห็นมันเพียงแค่พริบตาเดียว ฉันอ่อนแอเกินกว่าที่จะได้เห็นพลังที่แท้จริง นายก็รู้ มันเพียงแค่เล่นสนุกกับฉันด้วยซ้ำ”
“ถ้านายฝึกต่อไปนายอาจเข้าใกล้...”
ใบหน้าของเบรนบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
“นายไม่เข้าใจอะไรเลย! นายไม่มีวันที่จะไปถึงระดับของเจ้ามอนสเตอร์นั่น ไม่มีทางด้วยร่างกายของมนุษย์ ต่อให้นายเหวี่ยงดาบไปจนตายก็ยังไม่พอ! ไร้ค่า สิ่งที่ฉันทำมาตลอดมันคืออะไร?
กาเซฟไม่สามารถเอ่ยคำพูดใดออกมาได้
เขาเคยพบผู้คนที่มีแผลใจ คนที่หัวใจแตกสลายจากการเห็นสหายตายจากไปต่อหน้าเขา
มันไม่มีทางที่จะช่วยคนแบบนี้ เขาไม่สามารถดีขึ้นได้ด้วยผู้อื่น หากปราศจากความต้องการที่จะยืนหยัดด้วยตนเอง ไม่ว่าความช่วยเหลือใดๆก็ไม่มีประโยชน์
“...อันกลาอุส”
“...สโตรนอฟ ความแข็งแกร่งที่ได้มาจากดาบนั้นเป็นได้แค่ขยะ มันไร้ค่าต่อหน้าพลังที่แท้จริง
คำพูดนั้นไม่หลงเหลือตัวตนของตัวเขาในอดีตแม้แต่น้อย
“...ฉันดีใจที่ได้พบนายเป็นครั้งสุดท้ายนะ”
กาเซฟมองแผ่นหลังของเบรนที่เดินจากไปด้วยสายตาที่เจ็บปวด
ต่อหน้าสภาพที่น่าสงสารของของชายผู้หัวใจแตกสลายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา กาเซฟไม่สามารถรวบรวมกำลังมาเอ่ยคำพูดใดๆได้เลย อย่างไรก็ตาม เขาไม่ต้องการให้ช่วงเวลาที่ได้พบกันสั้นๆนี้จบลงที่การแยกทาง
“ตอนนี้.... ฉันจะได้ตายสักที”
“เดี๋ยว! รอก่อน! เบรน อันกลาอุส!”
เขาตะโกนอย่างเอาเป็นเอาตายใส่หลังของเบรน
กาเซฟวิ่งไปหาเบรนและจับไหล่เขาหมุนเข้ามา
ร่างกายที่ส่ายไปมานั้นไม่มีวี่แววความแข็งแกร่งจากอดีตแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากาเซฟจะผลักด้วยแรงทั้งหมดที่มี เบรนก็ไม่โซเซหรือท่าทีว่าจะล้มลงแม้แต่น้อย มันเป็นหลักฐานว่าเขาฝึกร่างกายช่วงล่างมาอย่างดี อีกทั้งยังมีสมดุลของร่างกายที่สุดยอด
กาเซฟรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย แม้แต่ในตอนนี้ฝีมือของเบรนก็ยังไม่ขึ้นสนิม
.
มันยังไม่สายเกินไป เขาจะไม่ยอมปล่อยให้เบรนเดินไปสู่ความตาย
“...นายทำอะไรน่ะ”
“มากับฉัน ที่บ้านของฉันสิ”
“ลืมมันไปซะ! อย่าพยายามที่จะหยุดฉัน ฉันอยากตาย… ฉันกลัวมาก ฉันไม่อยากแม้แต่จะมองข้ามไหล่ตัวเองในความมืด ฉันไม่อยากอยู่กับความจริงอีกต่อไป และเพียงแค่คิดว่าฉันเคยพอใจกับขยะในมือนี่...”
กาเซฟรู้สึกว่าความหงุดหงิดของเขาขยายขึ้นจากเสียงอ้อนวอนของเบรน
“หุบปาก แล้วตามฉันมา”
และกาเซฟก็ก้าวเดินไปในขณะที่จับแขนของเบรนไว้ แต่เมื่อเห็นเบรนก้าวตามมาอย่างไร้การขัดขืนแล้วเขาก็รู้สึกถึงความไม่พอใจที่ไม่สามารถบรรยายมาเป็นคำพูดได้
"หลังจากที่นายเปลี่ยนเสื้อผ้าและหาอะไรกินเสร็จแล้ว ต้องพักผ่อนทันทีล่ะ"
เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักร รี-เอสไทซ์
"เก่าแก่" เป็นคำบรรยายถึงอาณาจักรแห่งนี้ได้ที่สุด มีประชากรทั้งหมด 9 ล้านคน ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตที่ไม่เปลี่ยนแปลง มีความเลวร้ายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของยุคโบราณ --เป็นเมืองที่รวมความหมายต่างๆเอาไว้
มันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายๆเพียงแค่เดินผ่านตัวเมือง
บ้านเรือนที่เรียงรายทั้งสองข้างทางนั้นดูแข็งกระด้างขาดซึ่งความสดใสและความงดงาม แต่มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แน่นนอนว่ามีบางคนเห็นว่ามันเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบ แต่บางคนก็มองว่ามันช่างน่าเบื่อ
ราวกับว่ามันจะเป็นเช่นนี้ไปตลอด แม้ว่าไม่มีอะไรที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เมืองหลวงแห่งนี้ยังเหลือถนนหลายสายที่ไม่ได้ปูพื้น เพราะอย่างนั้นเมื่อฝนตกมันก็จะกลายเป็นโคลนเลนที่ชวนให้สงสัยว่ามีคนอาศัยอยู่ในเมืองนี้หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าอาณาจักรนี้ยากจน คุณไม่สามารถนำไปเทียบกับอาณาจักรเทวาธิปไตยหรือจักรวรรดิได้
เนื่องจากตัวถนนนั้นคับแคบ ผู้คนจะไม่เดินกลางถนน -ในทางเดินของรถม้า- พวกเขาเบียดกันอย่างไม่เป็นระเบียบที่ด้านข้างแทน ผู้คนล้วนเคยชินกับการเดินทางอย่างเบียดเสียด พวกเขามีความเชี่ยวชาญในการเดินสวนกันได้อย่างไหลลื่นด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่เซบาสใช้นั้นต่างออกไป มันกว้างและถูกปูด้วยแผ่นหิน
เหตุผลที่ทำให้สภาพแวดล้อมนั้นเปลี่ยนไปเนื่องจากมันคือถนนสายหลักของเมืองหลวง บ้านเรือนที่อยู่ในเขตนี้ล้วนแต่กว้างขวางและงดงามให้ความรู้สึกถึงความมั่งคั่้ง
ในระหว่างที่เซบาสเดินด้วยท่าทางที่ดูภูมิฐาน เขาก็ถูกจับจ้องไปด้วยสายตาของสตรีวัยกลางคนและสาวน้อยมากมายที่หลงเสน่ห์ในความสง่างามของเขา แม้จะมีบางคนที่จับจ้องใบหน้าของเขาด้วยสายตาอันร้อนแรง เซบาสก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ด้วยหลังที่เหยียดตรงแล้วดวงตาที่มุ่งตรงไปเบื้องหน้า เขาก้าวเดินโดยไม่มีความสับสนแม้แต่น้อย
การก้าวเท้าที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกว่าจะถึงเป้าหมายได้ชะงักลงและหันไปสนใจรถม้าที่ปรากฏจากด้านข้าง จากนั้นเท้าของเขาก็หมุนเก้าสิบองศาและก้าวข้ามถนนไป
เขาตรงเข้าไปหาหญิงชราที่นั่งอยู่ข้างสัมภาระขนาดใหญ่และกำลังนวดข้อเท้าอยู่
"มีปัญหางั้นหรือ?"
หญิงชราดูเหมือนว่าจะตกใจที่ถูกทักโดยคนแปลกหน้า เธอเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตาที่ดูหวาดระแวง แต่ก็อ่อนลงเมื่อได้เห็นบุคลิคและการแต่งกายที่สง่างามของเซบาส
"ดูเหมือนว่าคุณจะมีปัญหา มีอะไรที่กระผมพอจะช่วยเหลือได้บ้างไหม?"
"ม.. ไม่ค่ะท่าน ไม่มีอะไร"
"ได้โปรดอย่าคิดว่าเป็นการรบกวน การยื่นมือไปหาผู้ที่ต้องการนั้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว"
รอยยิ้มที่สดใสของเซบาสทำให้หญิงหญิงชราหน้าแดง รอยยิ้มที่ที่หล่อเหลาจากสุภาพบุรุษที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์นั้นได้ทำให้การป้องกันของเธอแตกสลายเป็นชิ้นๆ
หลังจากเร่ขายของจนหมดแผงแล้ว หญิงชราก็กำลังกลับบ้านจากนั้นเธอก็เกิดข้อเท้าแพลงจึงตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
แม้ว่าพื้นที่รอบๆถนนจะมีความสงบเรียบร้อย มันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ผ่านไปมาจะปฏิบัติตามกฏหมาย หากร้องขอความช่วยเหลือผิดคนแล้วก็อาจจบลงที่การสูญเสียทั้งเงินและสินค้า เพราะรู้อย่างนั้นหญิงชราจึงไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากใครแม้จะตกที่นั่งลำบาก
มันเป็นเรื่องพื้นฐาน
"กระผมจะไปกับคุณ ถ้าอย่างไรช่วยนำทางกระผมได้ไหม?"
"ขอบคุณค่ะ แต่จะไม่เป็นไรจริงเหรอ?"
"แน่นอน เป็นเรื่องปกติที่จะช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน"
เซบาสหันหลังให้กับหญิงชราที่กล่าวขอบคุณเขาซ้ำไปมา
"เอาล่ะ เชิญขึ้นมาเลย"
"น-นั่นมัน..."
หญิงชรากล่าวอย่างเขินอาย
"ฉันอาจทำให้เสื้อของคุณเปื้อนนะ!"
อย่างไรก็ตาม
เซบาสยังคงยิ้ม
ก็แค่เสื้อตัวหนึ่งเปื้อนจะเป็นอะไรไป? เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวลเลยในขณะที่ช่วยเหลือผู้อื่น เขานึกถึงสหายของเขาในมหาสุสานนาซาริก และใบหน้าของเดมิรูกจ์ พวกเขาคงจะแปลกใจหรือไม่ก็
แสดงสีหน้าดูถูกอย่างชัดเจน แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรเซบาสยังคงเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาทำ
การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ
หลังจากยืนยันให้กับหญิงชราที่กล่าวปฏิเสธซ้ำไปมาแล้ว เขาก็แบกเธอไว้บนหลังและยกสัมภาระด้วยมือข้างเดียว
การยกสิ่งของที่หนักมากโดยที่ลมหายใจไม่สะดุดนั้นไม่ใช่แค่หญิงชราที่หวาดกลัว แต่ผู้คนรอบข้างก็เช่นกัน
และด้วยการนำทางของหญิงชรา เซบาสก็ก้าวออกไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น