Overlord
Vol.9 Chap 3 Part 2.1
ฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงนั้น เปรียบเหมือนนรกสำหรับหมู่บ้านเล็กๆ สิ่งที่ชาวบ้านทำได้มีเพียงภาวนาให้ถึงฤดูกาลที่อบอุ่นเร็วๆ ในขณะที่อดทนต่อความหนาวเย็นในบ้านของพวกเขา
ถ้าหากฤดูใบไม้ผลิมาถึงช้า หรือผลผลิตที่เก็บเกี่ยวเมื่อตอนฤดูใบไม้ร่วงไม่เพียงพอ พวกเค้าก็จำเป็นที่จะต้องกินเมล็ดพันธุ์ที่เก็บสำรองไว้ และถึงแม้จะทำแบบนั้นก็ยังจะมีผู้คนที่ต้องตายเพราะความหิวโหยอยู่ดี
ถึงแม้ว่าจะไม่มีการทำไร่ในฤดูหนาว ชีวิตของชาวหมู่บ้านก็ยังคงมีกิจกรรมมากมายที่ต้องทำ เช่น การดูแลปศุสัตว์ หรือการบำรุงรักษาเครื่องมือการเกษตร นอกจากนี้ยังต้องทำความสะอาดบ้าน กระท่อม และคอกสัตว์ พวกเค้าจึงไม่มีเวลาว่างให้พัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้านคาร์น ซึ่งพวกเค้าต้องคอยดูแลมอนสเตอร์กินเนื้ออย่างพวกออร์ค พวกเค้าไม่สามารถพึ่งพาการล่าสัตว์ด้วยกับดักเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป ชาวบ้านจึงเริ่มต้นการเลี้ยงหมูแทน รวมถึงซื้อพวกมัน(น่าจะหมายถึงเนื้อ)ด้วยเงินจำนวนมากที่ได้จากการขาย สมุนไพรที่เก็บเกี่ยวได้
(TN: เลี้ยงหมูให้หมูกินรึ)
เหล่าก๊อบลินปล่อยให้พวกหมูเข้าไปหาพวกรากไม้และต้นพืชกินภายในป่าใหญ่แห่ง โทบ ตอนนี้พวกหมูยังคงมีจำนวนน้อย เพราะยังอยู่ในขั้นทดลองเลี้ยง แต่ว่าถ้าหากการเลี้ยงหมูเป็นไปได้ด้วยดีและผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้ พวกเค้าก็มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนพวกมันในอนาคต
ปกติแล้ว พวกชาวบ้านจำเป็นต้องจ่ายภาษีให้แก่ขุนนางผู้ครองที่ดินในบริเวณนั้น แต่ว่าหมู่บ้านคาร์นนั้นไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เหตุผลก็เพราะว่าหมู่บ้านคาร์นนั้นตั้งอยู่ใกล้เขตป่าใหญ่โทบ ซึ่งเต็มไปด้วยฝูงมอนสเตอร์ จึงไม่มีขุนนางเป็นผู้ดูแลพื้นที่ในบริเวณนี้
อนาคตของหมู่บ้านคาร์นดูสดใสเป็นอย่างมาก
ทั้งหมดนี้ ต้องขอบคุณไอน์ โอนว์ โกลว ผู้ช่วยเหลือหมู่บ้านไว้ และให้การสนับสนุนหมู่บ้านเป็นอย่างมาก และอัศวินดำโมมอน ผู้ปราบราชาแห่งป่า
ชาวบ้านหลายคนรู้สึกขอบคุณพวกเขาทั้งสองเป็นอย่างมาก บางคนถึงขั้นสวดภาวนาต่อพวกเขาในช่วงอาหารเช้า นับถือพวกเขาดุจดั่งที่เคารพต่อพระเจ้าเลยทีเดียว
ความหวังอันแรงกล้าของชาวหมู่บ้านนี้ทำให้ผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ เอนริ เอมมอท มีงานล้นมือ
ในวันนี้ เอนริและนฟีเรียก็เดินทางไปยังกระท่อมเล็กเพื่อทำงานของพวกเขา
ในหมู่บ้านชายอย่างหมู่บ้านคาร์น ทุกๆคนในหมู่บ้านช่วยกันทำงานเหมือนหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าพวกเค้าไม่ทำแบบนี้มันก็ไม่มีทางเลยที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้ ชาวบ้านมีการแบ่งปันผลผลิตที่เก็บเกี่ยวมาได้ และทำกระทั่งใช้วัวของหมู่บ้านร่วมกันเพื่อทำไร่
เพราะเหตุนี้ การดูแลปศุสัตว์จึงเป็นงานกลุ่มที่ชาวบ้านช่วยกันทำเช่นกัน หญ้าแห้งสำหรับเลี้ยงวัวในฤดูหนาวถูกเก็บไว้ภายในกระท่อมเล็กแบบที่เอนริ กำลังมุ่งหน้าไป
เอนริเปิดประตูออกและเข้าไปข้างใน นฟีเรียเดินตามเอนริมาอย่างติดๆ โดยที่ยังทิ้งประตูให้เปิดค้างไว้อยู่ เอนริเดินไปนั่งลงบนกองหญ้าแห้ง เอนหลังจมลงไปในกองหญ้านุ่มๆ
หลังจากปิดประตู นฟีเรียเดินไปนั่งลงข้างๆเธอ ผงเวทย์มนของเขาเปล่งแสงสว่างให้แก่บริเวณโดยรอบ
“หัวหน้า คุณควรนอนเล่นทีหลังดีกว่านะ เราต้องสำรวจว่ามีหญ้าแห้งเพียงพอใช้งานหรือเปล่า เพื่อตัดสินใจเรื่องต่อจากนั้น”
“เธอเรียกชั้นว่าหัวหน้าอีกแล้วนะ...”
นฟีเรียหัวเราะคิกคักให้กับเอนริที่ตอบมาอย่างเบื่อหน่าย
“เอาเถอะ ใครจะไปสนอีกล่ะ ยังไงชั้นก็คือหัวหน้านี่นะ
ใช่แล้ว อากูคิดว่าชั้นน่ะสามารถขยี้ก๊อบลินทั้งหมดให้เละเป็นโจ๊กได้เลยถ้าชั้นต้อง การ ! ถ้าเทียบกับเรื่องนี้แล้ว คงไม่มีอะไรแย่กว่านี้แล้วล่ะ”
ตั้งแต่ที่เธอแข่งงัดข้อกับอากูแล้วชนะมาได้ คนในหมู่บ้านต่างก็ซุบซิบกันว่า “อาจจะจริงก็ได้นะ” (เรื่องที่ขยี้ก๊อบลินได้ด้วยมือเปล่า) บรรยากาศแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกหนักใจ ยังดีที่เธอไม่ได้แข่งกับเหล่าออร์ค ถ้าเธอแพ้มันก็คงไม่ได้พิสูจน์อะไร แต่ถ้าเธอชนะเหล่าออร์ค หรือแพ้แบบสูสีขึ้นมาล่ะก็ บางทีมันคงจะแย่กว่านี้ก็ได้
ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าชั้นปล่อยให้เอนฟรีหลุดมือไปล่ะก็ บางทีชั้นคงไม่มีโอกาสได้แต่งงานอีกแล้ว (TN: ถึงกับเก็บมาเครียดเลยเชียว -_-)
เหงื่อค่อยๆผุดขึ้นในมือเอนริอย่างช้าๆ
“อ่า ใช่ๆ เธอจะไม่เปิดหน้าต่างหน่อยหรอ? ตอนนี้อากาศข้างนอกแห้งแล้ว เพราะงั้นถ้าเปิดหน้าต่างคงไม่เป็นไร”
“เอ่อ ไม่ ไม่หรอก เราไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าต่างนี่ ใช่มั้ย? เรามีแสงจากเวทมนต์แล้วนี่”
“อ่า งั้นหรอ ถ้าเอนฟรีว่าแบบนั้น งั้นก็เอาแบบนั้นก็ได้”
แสงสว่างจากเวทมนต์นั้นสว่างกว่าแสงจากดวงอาทิตย์ซะอีก เอนริรู้เรื่องนี้ดี แต่เธอก็คิดว่า “ในเมื่อข้างนอกก็ยังมีแสงแดดอยู่ แล้วการใช้มานาสร้างแสงสว่างจากเวทมนต์มันไม่สิ้นเปลืองไปเปล่าๆหรือ?” นอกจากนี้ เธอยังอยากเปลี่ยนบรรยากาศในห้องนี้ด้วย แต่มันก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรพิเศษที่เธออยากเปลี่ยนบรรยากาศ และเธอก็ไม่ได้รู้สึกขัดใจอะไรที่เขาปฏิเสธเธอ อย่างไรก็ตาม นฟีเรียที่นั่งอยู่ข้างๆเธอดูเหมือนมีท่าทีแปลกๆ หูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋
นี่มันใช้มานาของเค้าขนาดนี้เลยหรอเนี่ย แต่ชั้นได้ยินมาว่าการใช้เวทแสงสว่างมันไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นนี่นา หรือเค้าใช้เวทมนต์อย่างอื่นมาก่อนที่จะมาที่นี่ ? อืม พอมาคิดดูดีๆเค้าไม่ได้มีกลิ่นของพวกสมุนไพรเลยนี่นา จริงๆแล้วกลิ่นของเขา … หอมดีทีเดียว
“มะ มีอะไรงั้นหรอ เอนริ ?”
นฟีเรียพูดออกมาอย่างตื่นๆเมื่อเอนริเอาจมูกของเธอมาใกล้เขา
“หืม? อ่า ไม่ ไม่มีอะไรหรอก แค่ชั้นคิดว่าชั้นได้กลิ่นอะไรหอมๆน่ะ”
“ง..งั้นหรอ ดีจังที่ได้ยินแบบนั้น น่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ผมทำขึ้นมาน่ะ”
“จริงหรอ ทำไมเธอไม่เอามันไปขายที่เมืองตอนเราไปกันครั้งหน้าล่ะ ชั้นคิดว่ามันต้องขายได้ราคาดีแน่ๆ”
“ไม่ อ่า.. นี่.. นี่ไม่ได้ทำไว้ขายนะ..”
“หืมมม อืม งั้นช่างมันเถอะ เอาล่ะ ในกระท่อมนี้มันน่าจะมีหญ้าแห้งเพียงพอนะ เราไปต่อกันมั้ย ?”
“อืมม งั้นก่อนที่เราจะไปต่อ ขอผมตรวจสอบบางอย่างก่อนนะ ข้างนอกมันก็หนาวด้วย”
“....ที่นี่มันก็ไม่ได้อุ่นนี่น่า.... อ่า ช่างมันเถอะ”
“คือ.... คือว่า ผมอยากคุยอะไรบางอย่างกันเธอน่ะ”
นฟีเรียที่นั่งอยู่ข้างๆเธอดูเครียดเล็กน้อย
นี่เค้าเป็นอะไรของเค้าเนี่ย
เอนริจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขาด้วยความสงสัย นฟีเรียเอากระดาษออกมาเต็มมือของเขาไปหมด
กระดาษเหล่านั้นถูกเขียนด้วยตัวอักษรตัวเล็กๆ ถึงแม้ว่าเอนริจะพออ่านข้อความนั้นได้บ้าง แต่ก็มีหลายส่วนที่เธออ่านไม่ได้จากการเหลือบมองของเธอ
“อย่างแรกเลย เราจะทำยังไงกับการดูแลก๊อบลินจากเผ่าของอากูและพวกออร์คดี”
(TN: เวร คุยงานกันจริงๆเรอะ นึกว่าจะจีบกันซะอีก)
“เอ่อ ? ไม่ใช่ว่ามันไม่เป็นไรแล้วหรอ พวกเค้าก็ช่วยพวกเราในการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง แถมเราก็ยังซื้ออาหารของพวกออร์คมาจากในเมืองด้วย”
“อืมม พวกสมุนไพรขายได้ราคาดี พวกเราก็เลยสามารถซื้ออาหารมาเป็นเสบียงไว้ได้ จำนวนของมันน่าจะพาเราผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้แน่ ต่อให้พวกเรามีคนเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย อาหารของพวกเราก็น่าจะยังเพียงพออยู่ แต่ถ้าจำนวนคนในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆล่ะก็ เราคงเจอกับสถานการณ์ลำบาก บางทีเราควรหาทางอื่นที่จะเพิ่มปริมาณอาหารไว้บ้างนะ”
ตอนนี้มีสมาชิกของเผ่าอากูจำนวน 14 ตัว พวกเขาไม่ได้เกิดใหม่ แต่เป็นผู้อพยพออกมาจากอาณาเขตของยักษ์แห่งตะวันตกและอสรพิษแห่งตะวันออก
“อืมมม ถึงแม้ว่าในตอนนี้ชั้นจะยังไม่เห็นปัญหา แต่พวกเราก็ควรซื้ออาหารเพิ่มจากเมืองอีรันเทลไว้หน่อย แล้วก็ชั้นวางแผนไว้ว่าจะเก็บเงินบางส่วนไว้สำหรับสร้างเครื่องมือให้กับพวก ออร์ค
“ถ้าเราสั่งทำเครื่องมือการเกษตรสำหรับพวกออร์คได้ การทำไร่ในฤดูใบไม้ผลิก็คงจะทำได้เร็วขึ้น แต่ว่าปัญหามันอยู่ที่ถ้าเราสั่งทำเครื่องมือสำหรับออร์ค มันจะมีขนาดใหญ่จนไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถใช้งานได้ แล้วจะทำให้เราถูกสงสัยเอาได้”
“แล้วก็ ถ้าเรื่องของออร์คเล็ดลอดออกไป จะทำให้เกิดปัญหาเยอะแยะตามมาสินะ”
ตอนที่ผู้เก็บภาษีมาเมื่อฤดูใบไม้ร่วง (TN: ไหนว่าไม่เสียไง หรือเป็นคนของอาณาจักรโดยตรงหว่า) ตอนนั้นยูเจมและคนอื่นๆได้ไปหลบซ่อนเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ซึ่งต้องขอบคุณความพยายามของพวกเค้าทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากมาย
ตั้งแต่ตอนที่หมู่บ้านคาร์นถูกโจมตีโดยทหารจักรวรรดิ พวกเขาต้องจ่ายภาษีแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขา นอกจากนี้พวกเขายังได้รับการยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์ทหารเป็นเวลาหลายปี
ที่เป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่นั้นถือเป็นการขอโทษที่ไม่สามารถป้องกันหมู่บ้านคาร์นไว้ได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาก็รู้สึกผิดจากใจจริงเหมือนกัน
เคยมีคำถามเกี่ยวกับกำแพงที่แข็งแกร่งที่ล้อมรอบหมู่บ้านเหมือนกัน แต่ชาวบ้านเลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้น โดยบอกว่า “มันเป็นฝีมือของผู้ขับขานมนตราคนนั้น” ซึ่งถ้าพวกเขาสามารถตอบแบบนั้นได้ ก็สามารถอธิบายเรื่องออร์คในทำนองเดียวกันได้ จริงมั้ย? อย่างน้อยเอนริก็คิดแบบนั้น แต่นฟีเรียกลับส่ายหัว
“เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัยเลย อย่างเลวร้าย บางทางราชอาณาจักรอาจถึงขั้นส่งกองกำลังมาจัดการก็ได้”
“นั่นมันมากไปแล้วนะ”
“ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ในความจริง ทั่วๆไปแล้วพวกออร์คนี่มันกินคนนะ เหตุผลเดียวที่เราอยู่ร่วมกันได้ก็เพราะเรามีคุณยูเจมที่แข็งแกร่งกว่าพวก เราอยู่ด้วย อย่าลืมซะล่ะ”
“แต่ว่าชั้นไม่....”
“อีกเรื่องนึงคือ หมู่บ้านเรามีประชากรน้อยเกินไป เราควรคิดเรื่องวิธีเพิ่มจำนวนคนของหมู่บ้านนะ ถ้ามีคนย้ายมาใหม่ในช่วงเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิคงเยี่ยมไปเลย”
“นั่นเป็นเรื่องใหญ่นะ แล้วถ้าเป็นอย่างที่เธอพูด จะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าพวกเค้าเห็นพวกออร์คและก๊อบลินแล้ววิ่งหนีไปน่ะ ? นี่ เป็นอะไรไป?”
คำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยมาจากเอนริ มีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้นกับนฟีเรีย บางอย่างที่เหมือนกับ... ใจของเขาไม่อยู่ตรงนี้หรืออะไรแบบนี้
“เอ่อ ? อ่า ไม่ ไม่มีอะไรผิดปกติหรอก”
ไม่มีทางที่นั่นจะเป็นเรื่องจริงหรอก นี่เขาพักผ่อนไม่พอรึเปล่านะ ยังไงซะคนรักของเธอก็มีนิสัยที่ไม่ดีที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อโพชั่นของเขา
เมื่อเขาเห็นคิ้วของเอนริขมวดเข้าหากัน นฟีเรียหายใจเข้าลึกๆแล้วขยับร่างกายเข้าหาเธอ
หืม? นี่เค้าพักผ่อนไม่พอจริงๆสินะเนี่ย ช่วงนี้เค้าทำการทดลองเยอะแยะทุกวันนี่นะ แต่ว่าที่นี่มันหนาวนะถ้าเค้าจะนอนที่นี่ ถึงแม้ว่าฟางพวกนี้มันจะอุ่นก็เถอะ
ระหว่างที่เอนริคิดเรื่องนี้อยู่ นฟีเรียก็ค่อยๆถ่ายน้ำหนักลงบนตัวเธอเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
มีอะไรผิดปกติรึเปล่านะ ? ถ้ามาคิดถึงเรื่องนี้ มันคงจะดีกว่านี้นะถ้านฟีเรียแข็งแรงกว่านี้ซักหน่อย ชั้นคิดว่าเค้าควรกินเนื้อให้มากกว่านี้นะ เค้าไม่ค่อยได้กินและนอนอย่างเพียงพอด้วยสิ
ด้วยความขี้เล่นของเอนริ เธอผลักนฟีเรียกลับไป ตอนแรกเธอคิดแค่ว่าจะผลักกลับไปเบาๆเท่านั้น แต่ว่า ด้วยความที่เธอใช้แรงมากเกินไปหน่อย เลยกลายเป็นว่าเธอผลักเขาล้มลงไปนอนอยู่ใต้ตัวเธอแทน
“-----------อี๊กก?”
ตรงหน้าสายตาของเอนริ นฟีเรียมีท่าทางสับสนและตกใจ ใบหน้าของเขาค่อยๆกลายเป็นสีแดง
อ่า--- มันคงน่าอายสินะที่ผู้ชายจะมาแพ้แรงผู้หญิงแบบนี้ นี่แหละน้า ชั้นถึงคิดว่าเธอควรกินเนื้อให้มากกว่านี้...
หลังจากเอนริกลิ้งตัวของเธอออกมา นฟีเรียก็ยังคงนอนหลับตาอยู่บนกองฟางแบบนี้
ทั้งสองคนอยู่ในสภาพนี้หลายวินาที มีความสุขอยู่กับความเงียบสงบนี้
“อะไรกันเอนฟรี นี่เธออยากจะนอนหรอ?”
นฟีเรียลุกขึ้นมานั่ง หน้าของเขาแดงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เอ่อ... อ่า... อืม... ม..ไม่มีอะไร”
“---อาเจ๊ !”
ประตูถูกเปิดออกพร้อมๆกับเสียงตะโกนเรียกเธอโดยไม่มีเสียงเคาะประตูก่อน แรงกระแทกจากการเปิดประตู ทำให้ประตูชนกับกำแพงจนเกิดเสียงดังสนั่น
“หือออออ?”
เสียงร้องแปลกๆดังออกมาจากนฟีเรีย
“กะกะกะกะกะ เกิดอะไรขึ้น?”
“ขอโทษด้วยที่ต้องมาขัดจังหวะทั้งสองคน แต่นี่เป็นเหตุฉุกเฉิน!!”
“มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นยูเจมเป็นกังวลแบบนี้นับตั้งแต่ตอนโดนโทรลโจมตี ความรู้สึกสังหรณ์ใจถึงเรื่องเลวร้ายแล่นผ่านร่างกายของเธอ
“ทหาร !! กลุ่มทหารจำนวนมากกำลังตรงมาทางนี้!!!”
ถ้าหากฤดูใบไม้ผลิมาถึงช้า หรือผลผลิตที่เก็บเกี่ยวเมื่อตอนฤดูใบไม้ร่วงไม่เพียงพอ พวกเค้าก็จำเป็นที่จะต้องกินเมล็ดพันธุ์ที่เก็บสำรองไว้ และถึงแม้จะทำแบบนั้นก็ยังจะมีผู้คนที่ต้องตายเพราะความหิวโหยอยู่ดี
ถึงแม้ว่าจะไม่มีการทำไร่ในฤดูหนาว ชีวิตของชาวหมู่บ้านก็ยังคงมีกิจกรรมมากมายที่ต้องทำ เช่น การดูแลปศุสัตว์ หรือการบำรุงรักษาเครื่องมือการเกษตร นอกจากนี้ยังต้องทำความสะอาดบ้าน กระท่อม และคอกสัตว์ พวกเค้าจึงไม่มีเวลาว่างให้พัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้านคาร์น ซึ่งพวกเค้าต้องคอยดูแลมอนสเตอร์กินเนื้ออย่างพวกออร์ค พวกเค้าไม่สามารถพึ่งพาการล่าสัตว์ด้วยกับดักเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป ชาวบ้านจึงเริ่มต้นการเลี้ยงหมูแทน รวมถึงซื้อพวกมัน(น่าจะหมายถึงเนื้อ)ด้วยเงินจำนวนมากที่ได้จากการขาย สมุนไพรที่เก็บเกี่ยวได้
(TN: เลี้ยงหมูให้หมูกินรึ)
เหล่าก๊อบลินปล่อยให้พวกหมูเข้าไปหาพวกรากไม้และต้นพืชกินภายในป่าใหญ่แห่ง โทบ ตอนนี้พวกหมูยังคงมีจำนวนน้อย เพราะยังอยู่ในขั้นทดลองเลี้ยง แต่ว่าถ้าหากการเลี้ยงหมูเป็นไปได้ด้วยดีและผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้ พวกเค้าก็มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนพวกมันในอนาคต
ปกติแล้ว พวกชาวบ้านจำเป็นต้องจ่ายภาษีให้แก่ขุนนางผู้ครองที่ดินในบริเวณนั้น แต่ว่าหมู่บ้านคาร์นนั้นไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เหตุผลก็เพราะว่าหมู่บ้านคาร์นนั้นตั้งอยู่ใกล้เขตป่าใหญ่โทบ ซึ่งเต็มไปด้วยฝูงมอนสเตอร์ จึงไม่มีขุนนางเป็นผู้ดูแลพื้นที่ในบริเวณนี้
อนาคตของหมู่บ้านคาร์นดูสดใสเป็นอย่างมาก
ทั้งหมดนี้ ต้องขอบคุณไอน์ โอนว์ โกลว ผู้ช่วยเหลือหมู่บ้านไว้ และให้การสนับสนุนหมู่บ้านเป็นอย่างมาก และอัศวินดำโมมอน ผู้ปราบราชาแห่งป่า
ชาวบ้านหลายคนรู้สึกขอบคุณพวกเขาทั้งสองเป็นอย่างมาก บางคนถึงขั้นสวดภาวนาต่อพวกเขาในช่วงอาหารเช้า นับถือพวกเขาดุจดั่งที่เคารพต่อพระเจ้าเลยทีเดียว
ความหวังอันแรงกล้าของชาวหมู่บ้านนี้ทำให้ผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ เอนริ เอมมอท มีงานล้นมือ
ในวันนี้ เอนริและนฟีเรียก็เดินทางไปยังกระท่อมเล็กเพื่อทำงานของพวกเขา
ในหมู่บ้านชายอย่างหมู่บ้านคาร์น ทุกๆคนในหมู่บ้านช่วยกันทำงานเหมือนหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าพวกเค้าไม่ทำแบบนี้มันก็ไม่มีทางเลยที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้ ชาวบ้านมีการแบ่งปันผลผลิตที่เก็บเกี่ยวมาได้ และทำกระทั่งใช้วัวของหมู่บ้านร่วมกันเพื่อทำไร่
เพราะเหตุนี้ การดูแลปศุสัตว์จึงเป็นงานกลุ่มที่ชาวบ้านช่วยกันทำเช่นกัน หญ้าแห้งสำหรับเลี้ยงวัวในฤดูหนาวถูกเก็บไว้ภายในกระท่อมเล็กแบบที่เอนริ กำลังมุ่งหน้าไป
เอนริเปิดประตูออกและเข้าไปข้างใน นฟีเรียเดินตามเอนริมาอย่างติดๆ โดยที่ยังทิ้งประตูให้เปิดค้างไว้อยู่ เอนริเดินไปนั่งลงบนกองหญ้าแห้ง เอนหลังจมลงไปในกองหญ้านุ่มๆ
หลังจากปิดประตู นฟีเรียเดินไปนั่งลงข้างๆเธอ ผงเวทย์มนของเขาเปล่งแสงสว่างให้แก่บริเวณโดยรอบ
“หัวหน้า คุณควรนอนเล่นทีหลังดีกว่านะ เราต้องสำรวจว่ามีหญ้าแห้งเพียงพอใช้งานหรือเปล่า เพื่อตัดสินใจเรื่องต่อจากนั้น”
“เธอเรียกชั้นว่าหัวหน้าอีกแล้วนะ...”
นฟีเรียหัวเราะคิกคักให้กับเอนริที่ตอบมาอย่างเบื่อหน่าย
“เอาเถอะ ใครจะไปสนอีกล่ะ ยังไงชั้นก็คือหัวหน้านี่นะ
ใช่แล้ว อากูคิดว่าชั้นน่ะสามารถขยี้ก๊อบลินทั้งหมดให้เละเป็นโจ๊กได้เลยถ้าชั้นต้อง การ ! ถ้าเทียบกับเรื่องนี้แล้ว คงไม่มีอะไรแย่กว่านี้แล้วล่ะ”
ตั้งแต่ที่เธอแข่งงัดข้อกับอากูแล้วชนะมาได้ คนในหมู่บ้านต่างก็ซุบซิบกันว่า “อาจจะจริงก็ได้นะ” (เรื่องที่ขยี้ก๊อบลินได้ด้วยมือเปล่า) บรรยากาศแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกหนักใจ ยังดีที่เธอไม่ได้แข่งกับเหล่าออร์ค ถ้าเธอแพ้มันก็คงไม่ได้พิสูจน์อะไร แต่ถ้าเธอชนะเหล่าออร์ค หรือแพ้แบบสูสีขึ้นมาล่ะก็ บางทีมันคงจะแย่กว่านี้ก็ได้
ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าชั้นปล่อยให้เอนฟรีหลุดมือไปล่ะก็ บางทีชั้นคงไม่มีโอกาสได้แต่งงานอีกแล้ว (TN: ถึงกับเก็บมาเครียดเลยเชียว -_-)
เหงื่อค่อยๆผุดขึ้นในมือเอนริอย่างช้าๆ
“อ่า ใช่ๆ เธอจะไม่เปิดหน้าต่างหน่อยหรอ? ตอนนี้อากาศข้างนอกแห้งแล้ว เพราะงั้นถ้าเปิดหน้าต่างคงไม่เป็นไร”
“เอ่อ ไม่ ไม่หรอก เราไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าต่างนี่ ใช่มั้ย? เรามีแสงจากเวทมนต์แล้วนี่”
“อ่า งั้นหรอ ถ้าเอนฟรีว่าแบบนั้น งั้นก็เอาแบบนั้นก็ได้”
แสงสว่างจากเวทมนต์นั้นสว่างกว่าแสงจากดวงอาทิตย์ซะอีก เอนริรู้เรื่องนี้ดี แต่เธอก็คิดว่า “ในเมื่อข้างนอกก็ยังมีแสงแดดอยู่ แล้วการใช้มานาสร้างแสงสว่างจากเวทมนต์มันไม่สิ้นเปลืองไปเปล่าๆหรือ?” นอกจากนี้ เธอยังอยากเปลี่ยนบรรยากาศในห้องนี้ด้วย แต่มันก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรพิเศษที่เธออยากเปลี่ยนบรรยากาศ และเธอก็ไม่ได้รู้สึกขัดใจอะไรที่เขาปฏิเสธเธอ อย่างไรก็ตาม นฟีเรียที่นั่งอยู่ข้างๆเธอดูเหมือนมีท่าทีแปลกๆ หูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋
นี่มันใช้มานาของเค้าขนาดนี้เลยหรอเนี่ย แต่ชั้นได้ยินมาว่าการใช้เวทแสงสว่างมันไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นนี่นา หรือเค้าใช้เวทมนต์อย่างอื่นมาก่อนที่จะมาที่นี่ ? อืม พอมาคิดดูดีๆเค้าไม่ได้มีกลิ่นของพวกสมุนไพรเลยนี่นา จริงๆแล้วกลิ่นของเขา … หอมดีทีเดียว
“มะ มีอะไรงั้นหรอ เอนริ ?”
นฟีเรียพูดออกมาอย่างตื่นๆเมื่อเอนริเอาจมูกของเธอมาใกล้เขา
“หืม? อ่า ไม่ ไม่มีอะไรหรอก แค่ชั้นคิดว่าชั้นได้กลิ่นอะไรหอมๆน่ะ”
“ง..งั้นหรอ ดีจังที่ได้ยินแบบนั้น น่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ผมทำขึ้นมาน่ะ”
“จริงหรอ ทำไมเธอไม่เอามันไปขายที่เมืองตอนเราไปกันครั้งหน้าล่ะ ชั้นคิดว่ามันต้องขายได้ราคาดีแน่ๆ”
“ไม่ อ่า.. นี่.. นี่ไม่ได้ทำไว้ขายนะ..”
“หืมมม อืม งั้นช่างมันเถอะ เอาล่ะ ในกระท่อมนี้มันน่าจะมีหญ้าแห้งเพียงพอนะ เราไปต่อกันมั้ย ?”
“อืมม งั้นก่อนที่เราจะไปต่อ ขอผมตรวจสอบบางอย่างก่อนนะ ข้างนอกมันก็หนาวด้วย”
“....ที่นี่มันก็ไม่ได้อุ่นนี่น่า.... อ่า ช่างมันเถอะ”
“คือ.... คือว่า ผมอยากคุยอะไรบางอย่างกันเธอน่ะ”
นฟีเรียที่นั่งอยู่ข้างๆเธอดูเครียดเล็กน้อย
นี่เค้าเป็นอะไรของเค้าเนี่ย
เอนริจ้องมองไปที่ใบหน้าของเขาด้วยความสงสัย นฟีเรียเอากระดาษออกมาเต็มมือของเขาไปหมด
กระดาษเหล่านั้นถูกเขียนด้วยตัวอักษรตัวเล็กๆ ถึงแม้ว่าเอนริจะพออ่านข้อความนั้นได้บ้าง แต่ก็มีหลายส่วนที่เธออ่านไม่ได้จากการเหลือบมองของเธอ
“อย่างแรกเลย เราจะทำยังไงกับการดูแลก๊อบลินจากเผ่าของอากูและพวกออร์คดี”
(TN: เวร คุยงานกันจริงๆเรอะ นึกว่าจะจีบกันซะอีก)
“เอ่อ ? ไม่ใช่ว่ามันไม่เป็นไรแล้วหรอ พวกเค้าก็ช่วยพวกเราในการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง แถมเราก็ยังซื้ออาหารของพวกออร์คมาจากในเมืองด้วย”
“อืมม พวกสมุนไพรขายได้ราคาดี พวกเราก็เลยสามารถซื้ออาหารมาเป็นเสบียงไว้ได้ จำนวนของมันน่าจะพาเราผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้แน่ ต่อให้พวกเรามีคนเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย อาหารของพวกเราก็น่าจะยังเพียงพออยู่ แต่ถ้าจำนวนคนในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆล่ะก็ เราคงเจอกับสถานการณ์ลำบาก บางทีเราควรหาทางอื่นที่จะเพิ่มปริมาณอาหารไว้บ้างนะ”
ตอนนี้มีสมาชิกของเผ่าอากูจำนวน 14 ตัว พวกเขาไม่ได้เกิดใหม่ แต่เป็นผู้อพยพออกมาจากอาณาเขตของยักษ์แห่งตะวันตกและอสรพิษแห่งตะวันออก
“อืมมม ถึงแม้ว่าในตอนนี้ชั้นจะยังไม่เห็นปัญหา แต่พวกเราก็ควรซื้ออาหารเพิ่มจากเมืองอีรันเทลไว้หน่อย แล้วก็ชั้นวางแผนไว้ว่าจะเก็บเงินบางส่วนไว้สำหรับสร้างเครื่องมือให้กับพวก ออร์ค
“ถ้าเราสั่งทำเครื่องมือการเกษตรสำหรับพวกออร์คได้ การทำไร่ในฤดูใบไม้ผลิก็คงจะทำได้เร็วขึ้น แต่ว่าปัญหามันอยู่ที่ถ้าเราสั่งทำเครื่องมือสำหรับออร์ค มันจะมีขนาดใหญ่จนไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถใช้งานได้ แล้วจะทำให้เราถูกสงสัยเอาได้”
“แล้วก็ ถ้าเรื่องของออร์คเล็ดลอดออกไป จะทำให้เกิดปัญหาเยอะแยะตามมาสินะ”
ตอนที่ผู้เก็บภาษีมาเมื่อฤดูใบไม้ร่วง (TN: ไหนว่าไม่เสียไง หรือเป็นคนของอาณาจักรโดยตรงหว่า) ตอนนั้นยูเจมและคนอื่นๆได้ไปหลบซ่อนเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ซึ่งต้องขอบคุณความพยายามของพวกเค้าทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากมาย
ตั้งแต่ตอนที่หมู่บ้านคาร์นถูกโจมตีโดยทหารจักรวรรดิ พวกเขาต้องจ่ายภาษีแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขา นอกจากนี้พวกเขายังได้รับการยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์ทหารเป็นเวลาหลายปี
ที่เป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่นั้นถือเป็นการขอโทษที่ไม่สามารถป้องกันหมู่บ้านคาร์นไว้ได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาก็รู้สึกผิดจากใจจริงเหมือนกัน
เคยมีคำถามเกี่ยวกับกำแพงที่แข็งแกร่งที่ล้อมรอบหมู่บ้านเหมือนกัน แต่ชาวบ้านเลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้น โดยบอกว่า “มันเป็นฝีมือของผู้ขับขานมนตราคนนั้น” ซึ่งถ้าพวกเขาสามารถตอบแบบนั้นได้ ก็สามารถอธิบายเรื่องออร์คในทำนองเดียวกันได้ จริงมั้ย? อย่างน้อยเอนริก็คิดแบบนั้น แต่นฟีเรียกลับส่ายหัว
“เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัยเลย อย่างเลวร้าย บางทางราชอาณาจักรอาจถึงขั้นส่งกองกำลังมาจัดการก็ได้”
“นั่นมันมากไปแล้วนะ”
“ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ในความจริง ทั่วๆไปแล้วพวกออร์คนี่มันกินคนนะ เหตุผลเดียวที่เราอยู่ร่วมกันได้ก็เพราะเรามีคุณยูเจมที่แข็งแกร่งกว่าพวก เราอยู่ด้วย อย่าลืมซะล่ะ”
“แต่ว่าชั้นไม่....”
“อีกเรื่องนึงคือ หมู่บ้านเรามีประชากรน้อยเกินไป เราควรคิดเรื่องวิธีเพิ่มจำนวนคนของหมู่บ้านนะ ถ้ามีคนย้ายมาใหม่ในช่วงเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิคงเยี่ยมไปเลย”
“นั่นเป็นเรื่องใหญ่นะ แล้วถ้าเป็นอย่างที่เธอพูด จะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าพวกเค้าเห็นพวกออร์คและก๊อบลินแล้ววิ่งหนีไปน่ะ ? นี่ เป็นอะไรไป?”
คำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยมาจากเอนริ มีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้นกับนฟีเรีย บางอย่างที่เหมือนกับ... ใจของเขาไม่อยู่ตรงนี้หรืออะไรแบบนี้
“เอ่อ ? อ่า ไม่ ไม่มีอะไรผิดปกติหรอก”
ไม่มีทางที่นั่นจะเป็นเรื่องจริงหรอก นี่เขาพักผ่อนไม่พอรึเปล่านะ ยังไงซะคนรักของเธอก็มีนิสัยที่ไม่ดีที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อโพชั่นของเขา
เมื่อเขาเห็นคิ้วของเอนริขมวดเข้าหากัน นฟีเรียหายใจเข้าลึกๆแล้วขยับร่างกายเข้าหาเธอ
หืม? นี่เค้าพักผ่อนไม่พอจริงๆสินะเนี่ย ช่วงนี้เค้าทำการทดลองเยอะแยะทุกวันนี่นะ แต่ว่าที่นี่มันหนาวนะถ้าเค้าจะนอนที่นี่ ถึงแม้ว่าฟางพวกนี้มันจะอุ่นก็เถอะ
ระหว่างที่เอนริคิดเรื่องนี้อยู่ นฟีเรียก็ค่อยๆถ่ายน้ำหนักลงบนตัวเธอเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
มีอะไรผิดปกติรึเปล่านะ ? ถ้ามาคิดถึงเรื่องนี้ มันคงจะดีกว่านี้นะถ้านฟีเรียแข็งแรงกว่านี้ซักหน่อย ชั้นคิดว่าเค้าควรกินเนื้อให้มากกว่านี้นะ เค้าไม่ค่อยได้กินและนอนอย่างเพียงพอด้วยสิ
ด้วยความขี้เล่นของเอนริ เธอผลักนฟีเรียกลับไป ตอนแรกเธอคิดแค่ว่าจะผลักกลับไปเบาๆเท่านั้น แต่ว่า ด้วยความที่เธอใช้แรงมากเกินไปหน่อย เลยกลายเป็นว่าเธอผลักเขาล้มลงไปนอนอยู่ใต้ตัวเธอแทน
“-----------อี๊กก?”
ตรงหน้าสายตาของเอนริ นฟีเรียมีท่าทางสับสนและตกใจ ใบหน้าของเขาค่อยๆกลายเป็นสีแดง
อ่า--- มันคงน่าอายสินะที่ผู้ชายจะมาแพ้แรงผู้หญิงแบบนี้ นี่แหละน้า ชั้นถึงคิดว่าเธอควรกินเนื้อให้มากกว่านี้...
หลังจากเอนริกลิ้งตัวของเธอออกมา นฟีเรียก็ยังคงนอนหลับตาอยู่บนกองฟางแบบนี้
ทั้งสองคนอยู่ในสภาพนี้หลายวินาที มีความสุขอยู่กับความเงียบสงบนี้
“อะไรกันเอนฟรี นี่เธออยากจะนอนหรอ?”
นฟีเรียลุกขึ้นมานั่ง หน้าของเขาแดงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เอ่อ... อ่า... อืม... ม..ไม่มีอะไร”
“---อาเจ๊ !”
ประตูถูกเปิดออกพร้อมๆกับเสียงตะโกนเรียกเธอโดยไม่มีเสียงเคาะประตูก่อน แรงกระแทกจากการเปิดประตู ทำให้ประตูชนกับกำแพงจนเกิดเสียงดังสนั่น
“หือออออ?”
เสียงร้องแปลกๆดังออกมาจากนฟีเรีย
“กะกะกะกะกะ เกิดอะไรขึ้น?”
“ขอโทษด้วยที่ต้องมาขัดจังหวะทั้งสองคน แต่นี่เป็นเหตุฉุกเฉิน!!”
“มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นยูเจมเป็นกังวลแบบนี้นับตั้งแต่ตอนโดนโทรลโจมตี ความรู้สึกสังหรณ์ใจถึงเรื่องเลวร้ายแล่นผ่านร่างกายของเธอ
“ทหาร !! กลุ่มทหารจำนวนมากกำลังตรงมาทางนี้!!!”
Overlord Vol.9 Chap 3 Part 2.2
“เอ่อ? เดี๋ยวนะ เธอพูดเรื่องอะไร? ทหารจากที่ไหนงั้นหรอ?”
“พวกเราไม่รู้จักเครื่องหมายนั่น เพราะงั้นเราไม่รู้หรอก แต่ว่ามีตราสัญลักษณ์ที่ต่างกันมากมายเต็มไปหมด อาเจ๊ควรมาดูด้วยตัวเองนะ... ยังไงก็ตาม ข้าคิดว่าเราควรที่จะปิดประตูเข้าหมู่บ้านก่อน พวกเราควรทำยังไงกันดี?”
“นั่นมัน อ่า.. คุณจะช่วยบอกลักษณะหรือวาดภาพตราสัญลักษณ์ที่มีมากที่สุดในหมู่ทหารพวกนั้นมาได้ไหม? ถ้าคุณจำได้ ผมก็อาจช่วยบอกได้นะ”
หลังจากฟังคำอธิบายของยูเจม ความสงสัยก็ปรากฎออกมาที่หน้าของนฟีเรีย
“แปลกจัง นี่มันธงของราชอาณาจักรนี่นา ถ้าเรารู้ตราประจำตระกูลของขุนนางที่มาด้วย เราอาจจะบอกได้ว่าใครเป็นคนที่กำลังมาที่นี่”
หมู่บ้านคาร์นนั้นเป็นหมู่บ้านชายแดน ที่อื่นๆรอบๆนอกจากหมู่บ้านนี้ก็มีเพียงแค่ป่าเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคือหมู่บ้านคาร์นแห่งนี้ แต่ว่าเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ยังเป็นปริศนา
“แต่ว่าทำไมล่ะ? คุณรู้เหตุผลรึเปล่า นฟีเรีย?”
“ทำไมทหารของราชอาณาจักรถึงมาที่นี่งั้นหรอ ? ถ้าพวกเค้าจะไปที่ป่าใหญ่แห่งโทบ ก็ไม่น่าที่จะส่งกองกำลังมามากขนาดนี้ พวกเค้าน่าจะส่งพวกนักผจญภัยมาแทนมากกว่า ถ้าอย่างนั้น บางที... อาจจะมีกบฏหรืออะไรซักอย่าง”
“เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้ด้วยเหรอ ?”
“มันยังเป็นแค่ข่าวลือนะ แต่ผมได้ยินมาว่าอำนาจของราชาไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก ในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามีความขัดแย้งกับเหล่าขุนนางอยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้น บางทีพวกเค้าอาจมาเพื่อโจมตีหมู่บ้านนี้ ?”
เอนริหน้าซีดในทันที
หมู่บ้านนี้จะต้องถูกโจมตีอย่างน่ากลัวเหมือนกับครั้งที่แล้วงั้นหรือ ?
----อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้กับครั้งนั้นมันไม่เหมือนกัน
เอนริตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับมัน
“พวกเราควรที่จะหนีเข้าป่าก่อนที่กำลังพลพวกนั้นจะมาถึงที่นี่!”
“...อาเจ๊ ข้าขอโทษนะ พวกข้าสังเกตเห็นกองกำลังนั้นช้าไป ถ้าพวกเราจะหนีตอนนี้ เราก็ต้องทิ้งทุกอย่างเอาไว้ แล้วนอกจากนี้ ในป่าในฤดูหนาวนี่มีโอกาสที่จะมีมอนสเตอร์ออกมาเพ่นพ่านสูงมาก ข้าเกรงว่าพวกเราจะหนีจากปัญหานึงไปเจออีกปัญหานึงแทน”
ยูเจมอธิบายอย่างเจ็บปวด ทำให้เอนริรู้สึกใจหวิว
มันไม่มีทางที่พวกเขาจะอยู่รอดในฤดูหนาวได้ ถ้ากองกำลังนั้นเผาหมู่บ้านทิ้งไป
“ถ้าอย่างนั้น...... อ้า ใช่ ! ถ้าเราหนีไปพร้อมข้าวของไม่ได้ งั้นเราควรจะเตรียมพร้อมสู้รบไปพร้อมๆกับซ่อนอาหารและของจำเป็นไปด้วย”
“ใช่แล้ว! นั่นเป็นแผนที่ดีเอนริ ห้องใต้ดินที่ยูเจมกับพวกออร์คไปซ่อนตอนที่ผู้เก็บภาษีมาน่าจะยังไม่ถูกฝัง เราจะเอาทุกอย่างไปซ่อนในนั้น !”
ในตอนที่เอนริกำลังจะเคลื่อนไหวนั้น เธอนึกขึ้นมาได้ว่ามีคำถามหนึ่งที่เธอยังไม่ได้ถาม
กองกำลังนั้นมีจำนวนเท่าไหร่ ? ชาวบ้านจะได้ประมาณว่าพวกเขาควรซ่อนอาหารไว้เท่าไหร่ได้ ถ้าหากรู้จำนวนของกองกำลังที่มา
“พวกนั้นมากันเท่าไหร่ ประมาณ 100 คนใช่มั้ย ?”
“ไม่...”
เมื่อเอนริเห็นยูเจมหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆตอบออกมาช้าๆ เธอรู้สึกว่าเธอไม่อยากได้ยินจนอยากจะอุดหูตัวเอง
“ไม่ใช่แค่ 100 แต่มากกว่า 1000”
เอนริกะพริบตาปริบๆ หรือกับนฟีเรียที่อยู่ข้างๆเธอ
“ข้าคิดว่า อย่างน้อยๆก็น่าจะสี่พันคน”
“แต่ว่าทำไม... ทำไมถึงส่งกำลังมามากขนาดนั้น...”
“ผมคิดไม่ออกว่าทำไมพวกเค้าถึงส่งกำลังมามากมายขนาดนั้นมาที่หมู่บ้านนี้ เอนริ บางทีเรื่องที่ก๊อบลินอยู่ที่หมู่บ้านนี้เล็ดลอดออกไปรึเปล่า ?”
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้”
เอนริตอบกลับมาทันที
ไม่ว่าจะคิดยังไง เธอก็ไม่เห็นเหตุผลที่เรื่องนี้จะหลุดไปได้ ถึงแม้จะมีคนย้ายเข้ามาใหม่ แต่พวกเขาก็คิดว่าพวกก๊อบลินเชื่อใจได้มากกว่ามนุษย์เสียอีก ตั้งแต่เหตุการณ์ที่โทรลบุกโจมตี กำแพงระหว่างชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านกับเหล่าก๊อบลินก็หายไปแล้ว
อาจเป็นพวกนักผจญภัย บางทีโมมอนและนาเบลอาจแพร่ข่าวออกไปเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนพ้องที่ตายไป แต่นฟีเรียยืนกรานว่านั่นไม่มีทางเป็นไปได้
“ถ้างั้น... ตอนที่เรากำลังเตรียมตัวหนี เราน่าจะถามพวกเค้าด้วยว่าพวกเค้ามากันทำไม การต่อสู้...เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วกัน"
ทำการสู้กับกองทัพที่มีจำนวนสี่พันคนมันก็เหมือนการฆ่าตัวตาย
“อย่างที่อาเฮียพูด มันเป็นทางที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้แล้ว…กับฝ่ายตรงข้ามจำนวนขนาดนั้น มันคงไม่มีทางเลือกอื่น”
“อุมุ นั่นแหละ พวกเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมหนีได้ในทันที ในขณะที่พยายามซื้อเวลาเพื่อทำการหนีไปด้วย เอาล่ะ ไปกันเถอะ!”
ชาวบ้านหลายคนไปช่วยกันซ่อนอาหารกับพวกออร์ค ที่เหลืออยู่มีแค่เอนริ ยูเจมและพวกก๊อบลินบางส่วน บริต้า และสมาชิกบางคนของกองกำลังป้องกัน
อย่างแรกที่เอนริทำคือ ถามบริต้าเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถามเกี่ยวกับผู้บุกรุกและเจ้าของกองกำลัง แต่ว่าบริต้าก็ไม่สามารถตอบคำถามเธอได้
ปกติแล้วจะมีบางคนรับหน้าที่จัดการเรื่องพวกนี้แทนเธอ(บริต้า) ในวินาทีนั้น เอนริตระหนักได้ว่าการมีข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญแค่ไหน ในตอนนี้ ที่พวกเธอทำได้ก็มีแค่รอการรายงานจากนฟีเรียหลังจากไปที่หอคอยสอดแนมเท่า นั้น
เสียงกีบเท้าสัตว์ดังออกมาจากนอกกำแพง จากนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น
“เราคือทูตของมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรรีเอซไทร์ เจ้าชายบาร์โบร Barbro Andreyan Ield dale Vaiself ! เปิดประตูให้เราเข้าไป !”
เอนริคิดว่าเธอหูฝาด
ถึงแม้ว่าเธอช่วงนี้จะได้ยินเรื่องน่าประหลาดใจมากมาย เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เธอประหลาดใจมากที่สุด
“ม-มกุฎราชกุมาร?!”
คนแบบนั้นมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?!
เอนริไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุการณ์ทั้งหมดนี่มันเหมือนกับฝันร้ายอย่างนั้นแหละ
อย่างไรก็ตาม ดูจากที่นฟีเรียวิ่งกลับมาจากหอสังเกตการณ์ ดูเหมือนว่าคำพูดของทูตที่มานั้นจะเป็นความจริง
“มีธงของพระราชาอยู่ในทัพด้วย ต้องเป็นพวกราชวงศ์หรือผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นถึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้มันได้”
“เอ่อ ? แล้วมันหมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่า พวกราชวงศ์เป็นคนพาทหารมาที่นี่ไง !”
เอนริพูดเสียงดังขึ้น เธอไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมล่ะ ทำไมพวกท่านถึงต้องส่งทหารมากมายมาที่หมู่บ้านชายแดนแบบนี้ด้วย”
“ชาวบ้านอย่างพวกแกไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ! ดินแดนแห่งนี้เป็นขององค์ราชา และการทำตามคำสั่งองค์ราชาคือสิ่งที่พวกแกต้องทำ ! หรือพวกแกจะปฏิเสธคำสั่งขององค์ราชา แล้วก่อกบฏอย่างนั้นเรอะ ?”
ร่างกายของเอนริสั่นด้วยความกลัว
ในฐานะประชาชนของพระราชา พวกเขาความที่จะเปิดประตู แต่ว่า---
---ยูเจมสบตากับเอนริจากด้านข้าง
ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากจะเปิดประตูให้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ทันที ก่อนหน้านั้นต้องพาเหล่าก๊อบลินและออร์คไปซ่อนเสียก่อน
“อ่า อาเจ๊ พวกข้าจะไปหาที่ซ่อนให้เร็วที่สุดเอง อาเจ๊ช่วยซื้อเวลาให้พวกข้าซักหน่อยแล้วกัน”
เอนริพยักหน้า เธอคิดว่าทำไมชั้นถึงสั่งให้พวกเค้าซ่อนอาหารก่อนกันนะ แต่ตอนนี้มันก็สายเกินไปที่จะมานึกเสียใจแล้ว
“ข้าขอสั่งอีกครั้ง… เปิดประตูซะ !”
“ขะ ขอโทษค่ะ ตอนนี้ ตอนนี้พวกเรากำลังเตรียมการเพื่อต้อนรับองค์ชายอยู่ ช่วยรออีกซักครู่นะคะ”
“ไหนพูดอีกครั้งซิ ยัยผู้หญิงนี่ ! แกเป็นคนดูแลหมู่บ้านนี้อยู่ใช่มั้ย ? ความล่าช้าเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้ ! อย่าให้ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้ เปิดประตูซะ !”
“….ทำไมถึงอยากจะเข้ามาให้ได้ขนาดนั้นกัน?!”
ภายใต้ความกดดัน เอนริตะโกนกลับไปด้วยความโกรธ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่านี่เป็นการแสดงความไม่เคารพ แต่เธอก็ทิ้งความเป็นไปได้ที่กองทัพนี้อาจจะเป็นทหารประเทศอื่นที่ปลอมตัวมา เป็นทหารของราชอาณาจักรได้
หมู่บ้านคาร์นนั้น มีการป้องกันที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งมันทำให้ผู้เก็บภาษีตกใจมาแล้วตอนที่ได้มาเห็น
มันจึงไม่แปลกเลยถ้าหากประเทศอื่นจะพยายามเข้ามายึดที่นี่เพื่อใช้เป็นฐาน ที่มั่น อันที่จริง ที่กลุ่มโทรลเข้ามาโจมตีที่นี่ก็ด้วยเหตุผลนั้นเช่นกัน
ทั้งสองฝั่งตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ ความไม่สบายใจเข้าปกคลุมทั้งสองฝั่ง
“ทำไมถึงไม่ตอบกลับมาล่ะ ! จริงๆแล้วคุณคือพวกผู้บุกรุกที่ปลอมเป็นทหารของราชอาณาจักรใช่มั้ย !”
หลังจากตะโกนอย่าตื่นตระหนก ในที่สุดเธอก็ได้รับคำตอบ
“…ผู้ขับขานมนตราที่ชื่อ ไอน์ โอนว์ โกลว เคยมาที่หมู่บ้านนี้ครั้งนึงใช่มั้ย ?”
ภาพของผู้กอบกู้หมู่บ้านผุดขึ้นมาในหัวของเอนริ
“ผู้ขับขานมาตราคนนั้นตอนนี้เป็นศัตรูของราชอาณาจักรไปแล้ว เพราะอย่างนั้น พวกเราจึงอยากจะถามเรื่องของ ไอน์ โอนว์ โกลว จากผู้ที่เคยมีความสัมพันธ์กันอย่างพวกแก”
เอนริพูดไม่ออกด้วยความอึ้ง
อย่างไรก็ตาม เสียงกระซิบของกองกำลังป้องกันหมู่บ้านได้ลอยมาเข้าหูของเธอ
“ถ้าท่านไอน์เป็นศัตรูกับราชอาณาจักร… งั้นมันไม่ใช่ว่าทางราชอาณาจักรเป็นฝ่ายผิดหรอกหรือ ?”
สายตาของชาวบ้านทุกคนสะท้อนออกมาว่าเห็นด้วยกับความคิดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวบ้านที่ย้ายเข้ามาที่หมู่บ้านหลังบ้านเกิดของพวกเขาถูกทำลาย ความเกลียดชังที่มีต่อราชอาณาจักรที่ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ กลายมาเป็นความเชื่อมั่นและความนับถือต่อผู้ขับขานมนตราที่ปกป้องหมู่บ้าน นี้ไว้
ไม่ว่าจะเป็นการให้แตรที่สามารถเรียกก๊อบลินออกมาได้ก็ดี หรือการส่งโกเลมให้มาช่วยสร้างกำแพงที่ปกป้องพวกเขาอยู่ในขณะนี้ก็ดี หรือแม้แต่เมดรูปุสเรจิน่าที่ช่วยหมู่บ้านไว้จากการโจมตีของพวกโทรลก็ดี สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาเคารพไอน์อย่างยิ่ง
“…แต่ว่า พวกนั้นมากันเยอะมากเลยนะ ถ้าเราไม่เปิดประตูให้ล่ะก็…”
“แต่ถ้าเราทำการทรยศท่านไอน์หลังจากที่ได้รับความเมตตาจากท่านมามากมายขนาดนั้น…”
“เดี๋ยวก่อน พวกนั้นบอกว่าแค่จะถามอะไรพวกเราบางอย่างเองนะ มันไม่ได้แปลว่าเราทรยศท่านไอน์ซะหน่อย”
“อย่างนั้นหรือ ? แต่ว่าสำหรับข้า แบบนั้นมันก็เหมือนการเนรคุณอยู่ดี”
สายตาของทุกคนจับจ้องมายังเอนริ
เธอเข้าใจดีถึงความรู้สึกของทั้งสองฝั่ง เพราะอย่างนั้น มันจึงยากสำหรับเอนริที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกทางไหน ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังออกมาจากอีกด้านหนึ่งของประตู
“ถ้าพวกแกเข้าใจแล้วก็เปิดประตูซะเดี๋ยวนี้ ! ไม่อย่างนั้นพวกแกจะถูกถือว่าเป็นคนทรยศต่อราชอาณาจักร !”
เมื่อถูกกดดันถึงขีดสุด เอนริได้ตะโกนพูดบางอย่างกลับไปเพื่อซื้อเวลาไว้
“ขี้ ! มีแต่ขี้วัวเต็มไปหมดเลย ! พ- พวกเราปล่อยให้องค์ชายเสด็จเข้ามาในที่แบบนี้ไม่ได้หรอก !”
หลังจากเงียบกันไปอีกพักนึง น้ำเสียงที่สงบก็ดังผ่านอากาศมา
“โอ้ อืมม เข้าใจล่ะ งั้นเอางี้เป็นไง พวกข้าจะเป็นคนเข้าไปในหมู่บ้านแทนองค์ชายเอง แล้วเราค่อยมาคิดกันต่อว่าจะเอาไงต่อไป”
มันไม่มีข้ออ้างอะไรที่เธอจะถ่วงเวลาได้อีกแล้ว
ในหัวของเอนริว่างเปล่า โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น เธอตะโกนสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของเธอออกไป
“ขะ ขอโทษ ตอนนี้ขี้เปื้อนเต็มมือข้าไปหมดเลย ขอข้าไปล้างมือก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมานะ !”
“—โอะ-เอ้ย !”
เอนริมองไปยังแผ่นหลังของยูเจมและคนอื่นๆที่กำลังถอยไปหลบซ่อน เธอกังวลว่าเธอจะซื้อเวลาไว้ได้เท่าไหร่กันนะ
“พวกเราไม่รู้จักเครื่องหมายนั่น เพราะงั้นเราไม่รู้หรอก แต่ว่ามีตราสัญลักษณ์ที่ต่างกันมากมายเต็มไปหมด อาเจ๊ควรมาดูด้วยตัวเองนะ... ยังไงก็ตาม ข้าคิดว่าเราควรที่จะปิดประตูเข้าหมู่บ้านก่อน พวกเราควรทำยังไงกันดี?”
“นั่นมัน อ่า.. คุณจะช่วยบอกลักษณะหรือวาดภาพตราสัญลักษณ์ที่มีมากที่สุดในหมู่ทหารพวกนั้นมาได้ไหม? ถ้าคุณจำได้ ผมก็อาจช่วยบอกได้นะ”
หลังจากฟังคำอธิบายของยูเจม ความสงสัยก็ปรากฎออกมาที่หน้าของนฟีเรีย
“แปลกจัง นี่มันธงของราชอาณาจักรนี่นา ถ้าเรารู้ตราประจำตระกูลของขุนนางที่มาด้วย เราอาจจะบอกได้ว่าใครเป็นคนที่กำลังมาที่นี่”
หมู่บ้านคาร์นนั้นเป็นหมู่บ้านชายแดน ที่อื่นๆรอบๆนอกจากหมู่บ้านนี้ก็มีเพียงแค่ป่าเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคือหมู่บ้านคาร์นแห่งนี้ แต่ว่าเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ยังเป็นปริศนา
“แต่ว่าทำไมล่ะ? คุณรู้เหตุผลรึเปล่า นฟีเรีย?”
“ทำไมทหารของราชอาณาจักรถึงมาที่นี่งั้นหรอ ? ถ้าพวกเค้าจะไปที่ป่าใหญ่แห่งโทบ ก็ไม่น่าที่จะส่งกองกำลังมามากขนาดนี้ พวกเค้าน่าจะส่งพวกนักผจญภัยมาแทนมากกว่า ถ้าอย่างนั้น บางที... อาจจะมีกบฏหรืออะไรซักอย่าง”
“เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้ด้วยเหรอ ?”
“มันยังเป็นแค่ข่าวลือนะ แต่ผมได้ยินมาว่าอำนาจของราชาไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก ในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามีความขัดแย้งกับเหล่าขุนนางอยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้น บางทีพวกเค้าอาจมาเพื่อโจมตีหมู่บ้านนี้ ?”
เอนริหน้าซีดในทันที
หมู่บ้านนี้จะต้องถูกโจมตีอย่างน่ากลัวเหมือนกับครั้งที่แล้วงั้นหรือ ?
----อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้กับครั้งนั้นมันไม่เหมือนกัน
เอนริตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับมัน
“พวกเราควรที่จะหนีเข้าป่าก่อนที่กำลังพลพวกนั้นจะมาถึงที่นี่!”
“...อาเจ๊ ข้าขอโทษนะ พวกข้าสังเกตเห็นกองกำลังนั้นช้าไป ถ้าพวกเราจะหนีตอนนี้ เราก็ต้องทิ้งทุกอย่างเอาไว้ แล้วนอกจากนี้ ในป่าในฤดูหนาวนี่มีโอกาสที่จะมีมอนสเตอร์ออกมาเพ่นพ่านสูงมาก ข้าเกรงว่าพวกเราจะหนีจากปัญหานึงไปเจออีกปัญหานึงแทน”
ยูเจมอธิบายอย่างเจ็บปวด ทำให้เอนริรู้สึกใจหวิว
มันไม่มีทางที่พวกเขาจะอยู่รอดในฤดูหนาวได้ ถ้ากองกำลังนั้นเผาหมู่บ้านทิ้งไป
“ถ้าอย่างนั้น...... อ้า ใช่ ! ถ้าเราหนีไปพร้อมข้าวของไม่ได้ งั้นเราควรจะเตรียมพร้อมสู้รบไปพร้อมๆกับซ่อนอาหารและของจำเป็นไปด้วย”
“ใช่แล้ว! นั่นเป็นแผนที่ดีเอนริ ห้องใต้ดินที่ยูเจมกับพวกออร์คไปซ่อนตอนที่ผู้เก็บภาษีมาน่าจะยังไม่ถูกฝัง เราจะเอาทุกอย่างไปซ่อนในนั้น !”
ในตอนที่เอนริกำลังจะเคลื่อนไหวนั้น เธอนึกขึ้นมาได้ว่ามีคำถามหนึ่งที่เธอยังไม่ได้ถาม
กองกำลังนั้นมีจำนวนเท่าไหร่ ? ชาวบ้านจะได้ประมาณว่าพวกเขาควรซ่อนอาหารไว้เท่าไหร่ได้ ถ้าหากรู้จำนวนของกองกำลังที่มา
“พวกนั้นมากันเท่าไหร่ ประมาณ 100 คนใช่มั้ย ?”
“ไม่...”
เมื่อเอนริเห็นยูเจมหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆตอบออกมาช้าๆ เธอรู้สึกว่าเธอไม่อยากได้ยินจนอยากจะอุดหูตัวเอง
“ไม่ใช่แค่ 100 แต่มากกว่า 1000”
เอนริกะพริบตาปริบๆ หรือกับนฟีเรียที่อยู่ข้างๆเธอ
“ข้าคิดว่า อย่างน้อยๆก็น่าจะสี่พันคน”
“แต่ว่าทำไม... ทำไมถึงส่งกำลังมามากขนาดนั้น...”
“ผมคิดไม่ออกว่าทำไมพวกเค้าถึงส่งกำลังมามากมายขนาดนั้นมาที่หมู่บ้านนี้ เอนริ บางทีเรื่องที่ก๊อบลินอยู่ที่หมู่บ้านนี้เล็ดลอดออกไปรึเปล่า ?”
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้”
เอนริตอบกลับมาทันที
ไม่ว่าจะคิดยังไง เธอก็ไม่เห็นเหตุผลที่เรื่องนี้จะหลุดไปได้ ถึงแม้จะมีคนย้ายเข้ามาใหม่ แต่พวกเขาก็คิดว่าพวกก๊อบลินเชื่อใจได้มากกว่ามนุษย์เสียอีก ตั้งแต่เหตุการณ์ที่โทรลบุกโจมตี กำแพงระหว่างชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านกับเหล่าก๊อบลินก็หายไปแล้ว
อาจเป็นพวกนักผจญภัย บางทีโมมอนและนาเบลอาจแพร่ข่าวออกไปเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนพ้องที่ตายไป แต่นฟีเรียยืนกรานว่านั่นไม่มีทางเป็นไปได้
“ถ้างั้น... ตอนที่เรากำลังเตรียมตัวหนี เราน่าจะถามพวกเค้าด้วยว่าพวกเค้ามากันทำไม การต่อสู้...เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วกัน"
ทำการสู้กับกองทัพที่มีจำนวนสี่พันคนมันก็เหมือนการฆ่าตัวตาย
“อย่างที่อาเฮียพูด มันเป็นทางที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้แล้ว…กับฝ่ายตรงข้ามจำนวนขนาดนั้น มันคงไม่มีทางเลือกอื่น”
“อุมุ นั่นแหละ พวกเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมหนีได้ในทันที ในขณะที่พยายามซื้อเวลาเพื่อทำการหนีไปด้วย เอาล่ะ ไปกันเถอะ!”
ชาวบ้านหลายคนไปช่วยกันซ่อนอาหารกับพวกออร์ค ที่เหลืออยู่มีแค่เอนริ ยูเจมและพวกก๊อบลินบางส่วน บริต้า และสมาชิกบางคนของกองกำลังป้องกัน
อย่างแรกที่เอนริทำคือ ถามบริต้าเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถามเกี่ยวกับผู้บุกรุกและเจ้าของกองกำลัง แต่ว่าบริต้าก็ไม่สามารถตอบคำถามเธอได้
ปกติแล้วจะมีบางคนรับหน้าที่จัดการเรื่องพวกนี้แทนเธอ(บริต้า) ในวินาทีนั้น เอนริตระหนักได้ว่าการมีข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญแค่ไหน ในตอนนี้ ที่พวกเธอทำได้ก็มีแค่รอการรายงานจากนฟีเรียหลังจากไปที่หอคอยสอดแนมเท่า นั้น
เสียงกีบเท้าสัตว์ดังออกมาจากนอกกำแพง จากนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น
“เราคือทูตของมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรรีเอซไทร์ เจ้าชายบาร์โบร Barbro Andreyan Ield dale Vaiself ! เปิดประตูให้เราเข้าไป !”
เอนริคิดว่าเธอหูฝาด
ถึงแม้ว่าเธอช่วงนี้จะได้ยินเรื่องน่าประหลาดใจมากมาย เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เธอประหลาดใจมากที่สุด
“ม-มกุฎราชกุมาร?!”
คนแบบนั้นมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?!
เอนริไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุการณ์ทั้งหมดนี่มันเหมือนกับฝันร้ายอย่างนั้นแหละ
อย่างไรก็ตาม ดูจากที่นฟีเรียวิ่งกลับมาจากหอสังเกตการณ์ ดูเหมือนว่าคำพูดของทูตที่มานั้นจะเป็นความจริง
“มีธงของพระราชาอยู่ในทัพด้วย ต้องเป็นพวกราชวงศ์หรือผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นถึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้มันได้”
“เอ่อ ? แล้วมันหมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่า พวกราชวงศ์เป็นคนพาทหารมาที่นี่ไง !”
เอนริพูดเสียงดังขึ้น เธอไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมล่ะ ทำไมพวกท่านถึงต้องส่งทหารมากมายมาที่หมู่บ้านชายแดนแบบนี้ด้วย”
“ชาวบ้านอย่างพวกแกไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ! ดินแดนแห่งนี้เป็นขององค์ราชา และการทำตามคำสั่งองค์ราชาคือสิ่งที่พวกแกต้องทำ ! หรือพวกแกจะปฏิเสธคำสั่งขององค์ราชา แล้วก่อกบฏอย่างนั้นเรอะ ?”
ร่างกายของเอนริสั่นด้วยความกลัว
ในฐานะประชาชนของพระราชา พวกเขาความที่จะเปิดประตู แต่ว่า---
---ยูเจมสบตากับเอนริจากด้านข้าง
ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากจะเปิดประตูให้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ทันที ก่อนหน้านั้นต้องพาเหล่าก๊อบลินและออร์คไปซ่อนเสียก่อน
“อ่า อาเจ๊ พวกข้าจะไปหาที่ซ่อนให้เร็วที่สุดเอง อาเจ๊ช่วยซื้อเวลาให้พวกข้าซักหน่อยแล้วกัน”
เอนริพยักหน้า เธอคิดว่าทำไมชั้นถึงสั่งให้พวกเค้าซ่อนอาหารก่อนกันนะ แต่ตอนนี้มันก็สายเกินไปที่จะมานึกเสียใจแล้ว
“ข้าขอสั่งอีกครั้ง… เปิดประตูซะ !”
“ขะ ขอโทษค่ะ ตอนนี้ ตอนนี้พวกเรากำลังเตรียมการเพื่อต้อนรับองค์ชายอยู่ ช่วยรออีกซักครู่นะคะ”
“ไหนพูดอีกครั้งซิ ยัยผู้หญิงนี่ ! แกเป็นคนดูแลหมู่บ้านนี้อยู่ใช่มั้ย ? ความล่าช้าเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้ ! อย่าให้ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้ เปิดประตูซะ !”
“….ทำไมถึงอยากจะเข้ามาให้ได้ขนาดนั้นกัน?!”
ภายใต้ความกดดัน เอนริตะโกนกลับไปด้วยความโกรธ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่านี่เป็นการแสดงความไม่เคารพ แต่เธอก็ทิ้งความเป็นไปได้ที่กองทัพนี้อาจจะเป็นทหารประเทศอื่นที่ปลอมตัวมา เป็นทหารของราชอาณาจักรได้
หมู่บ้านคาร์นนั้น มีการป้องกันที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งมันทำให้ผู้เก็บภาษีตกใจมาแล้วตอนที่ได้มาเห็น
มันจึงไม่แปลกเลยถ้าหากประเทศอื่นจะพยายามเข้ามายึดที่นี่เพื่อใช้เป็นฐาน ที่มั่น อันที่จริง ที่กลุ่มโทรลเข้ามาโจมตีที่นี่ก็ด้วยเหตุผลนั้นเช่นกัน
ทั้งสองฝั่งตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ ความไม่สบายใจเข้าปกคลุมทั้งสองฝั่ง
“ทำไมถึงไม่ตอบกลับมาล่ะ ! จริงๆแล้วคุณคือพวกผู้บุกรุกที่ปลอมเป็นทหารของราชอาณาจักรใช่มั้ย !”
หลังจากตะโกนอย่าตื่นตระหนก ในที่สุดเธอก็ได้รับคำตอบ
“…ผู้ขับขานมนตราที่ชื่อ ไอน์ โอนว์ โกลว เคยมาที่หมู่บ้านนี้ครั้งนึงใช่มั้ย ?”
ภาพของผู้กอบกู้หมู่บ้านผุดขึ้นมาในหัวของเอนริ
“ผู้ขับขานมาตราคนนั้นตอนนี้เป็นศัตรูของราชอาณาจักรไปแล้ว เพราะอย่างนั้น พวกเราจึงอยากจะถามเรื่องของ ไอน์ โอนว์ โกลว จากผู้ที่เคยมีความสัมพันธ์กันอย่างพวกแก”
เอนริพูดไม่ออกด้วยความอึ้ง
อย่างไรก็ตาม เสียงกระซิบของกองกำลังป้องกันหมู่บ้านได้ลอยมาเข้าหูของเธอ
“ถ้าท่านไอน์เป็นศัตรูกับราชอาณาจักร… งั้นมันไม่ใช่ว่าทางราชอาณาจักรเป็นฝ่ายผิดหรอกหรือ ?”
สายตาของชาวบ้านทุกคนสะท้อนออกมาว่าเห็นด้วยกับความคิดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวบ้านที่ย้ายเข้ามาที่หมู่บ้านหลังบ้านเกิดของพวกเขาถูกทำลาย ความเกลียดชังที่มีต่อราชอาณาจักรที่ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ กลายมาเป็นความเชื่อมั่นและความนับถือต่อผู้ขับขานมนตราที่ปกป้องหมู่บ้าน นี้ไว้
ไม่ว่าจะเป็นการให้แตรที่สามารถเรียกก๊อบลินออกมาได้ก็ดี หรือการส่งโกเลมให้มาช่วยสร้างกำแพงที่ปกป้องพวกเขาอยู่ในขณะนี้ก็ดี หรือแม้แต่เมดรูปุสเรจิน่าที่ช่วยหมู่บ้านไว้จากการโจมตีของพวกโทรลก็ดี สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาเคารพไอน์อย่างยิ่ง
“…แต่ว่า พวกนั้นมากันเยอะมากเลยนะ ถ้าเราไม่เปิดประตูให้ล่ะก็…”
“แต่ถ้าเราทำการทรยศท่านไอน์หลังจากที่ได้รับความเมตตาจากท่านมามากมายขนาดนั้น…”
“เดี๋ยวก่อน พวกนั้นบอกว่าแค่จะถามอะไรพวกเราบางอย่างเองนะ มันไม่ได้แปลว่าเราทรยศท่านไอน์ซะหน่อย”
“อย่างนั้นหรือ ? แต่ว่าสำหรับข้า แบบนั้นมันก็เหมือนการเนรคุณอยู่ดี”
สายตาของทุกคนจับจ้องมายังเอนริ
เธอเข้าใจดีถึงความรู้สึกของทั้งสองฝั่ง เพราะอย่างนั้น มันจึงยากสำหรับเอนริที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกทางไหน ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังออกมาจากอีกด้านหนึ่งของประตู
“ถ้าพวกแกเข้าใจแล้วก็เปิดประตูซะเดี๋ยวนี้ ! ไม่อย่างนั้นพวกแกจะถูกถือว่าเป็นคนทรยศต่อราชอาณาจักร !”
เมื่อถูกกดดันถึงขีดสุด เอนริได้ตะโกนพูดบางอย่างกลับไปเพื่อซื้อเวลาไว้
“ขี้ ! มีแต่ขี้วัวเต็มไปหมดเลย ! พ- พวกเราปล่อยให้องค์ชายเสด็จเข้ามาในที่แบบนี้ไม่ได้หรอก !”
หลังจากเงียบกันไปอีกพักนึง น้ำเสียงที่สงบก็ดังผ่านอากาศมา
“โอ้ อืมม เข้าใจล่ะ งั้นเอางี้เป็นไง พวกข้าจะเป็นคนเข้าไปในหมู่บ้านแทนองค์ชายเอง แล้วเราค่อยมาคิดกันต่อว่าจะเอาไงต่อไป”
มันไม่มีข้ออ้างอะไรที่เธอจะถ่วงเวลาได้อีกแล้ว
ในหัวของเอนริว่างเปล่า โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น เธอตะโกนสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของเธอออกไป
“ขะ ขอโทษ ตอนนี้ขี้เปื้อนเต็มมือข้าไปหมดเลย ขอข้าไปล้างมือก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมานะ !”
“—โอะ-เอ้ย !”
เอนริมองไปยังแผ่นหลังของยูเจมและคนอื่นๆที่กำลังถอยไปหลบซ่อน เธอกังวลว่าเธอจะซื้อเวลาไว้ได้เท่าไหร่กันนะ
Overlord vol.9 chap 3 part 2.3.1
ความรู้สึกหมดความอดทนของบาร์โบรเริ่มจะแผ่กระจายให้ได้รับรู้ไปทั่วกองทหาร เขาจ้องมองไปยังอัศวินที่มารายงานด้วยสายตาที่เหมือนจ้องมองศัตรู
“ไหนลองพูดอีกทีซิ นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?!”
ความโกรธของบาร์โบรแฝงอยู่ในคำพูดทุกคำ เขาพูดผ่านช่องว่างของฟันที่กัดกันแน่น และอัศวินได้ทวนคำรายงานของเขาอีกครั้ง
“ท่านครับ หมู่บ้านคาร์นไม่ยอมเปิดประตูให้เรา”
หลังจากได้ยินคำรายงานของอัศวิน บาร์โบรอยากที่จะต่อยเข้าไปที่หน้าของอัศวินคนนั้น
แต่ว่าการทำแบบนั้นมันเป็นเรื่องโง่ๆ บาร์โบรจึงควบคุมความโกรธเอาไว้ที่หมัดของเขา
อัศวินคนนี้ รวมถึงทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ ไม่มีใครเลยที่สาบานว่าจะรับใช้บาร์โบร ในตอนแรกนั้น บาร์โบรไม่มีกำลังทหารในการควบคุมเลย ทหารที่อยู่ที่นี่ทุกคนล้วนได้รับคำสั่งมาจากเจ้านายที่พวกเขาภักดีด้วย หรือไม่ก็มาที่นี่พร้อมกับเจ้านายของพวกเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่สามารถทำร้ายพันธมิตรของเขาในขณะที่อัศวินคนอื่นๆดู อยู่ได้
“—ทำไม ? ทำไปพวกชาวบ้านในหมู่บ้านคาร์นถึงไม่ยอมเปิดประตูกัน ? พื้นที่แห่งนี้อยู่ในการดูแลโดยตรงของราชวงศ์ พวกมันต้องทำตามคำสั่งข้าสิ ! ถ้าสั่งให้มันเปิดประตูไม่ใช่รึไง ?”
(TN: ได้คำตอบเรื่องภาษีแล้ว คือที่ตรงนี้ไม่มีขุนนางคุม เลยเป็นพวกกษัตริย์คุมที่ตรงนี้โดยตรง แล้วก็จ่ายภาษีตรงให้กับอาณาจักร)
ขณะความอดทนของเขากำลังถึงขีดสุด เลือดของเขาสูบฉีดเร็วขึ้น คำพูดของเขาก็เริ่มขาดการมีเหตุผล
“มีปัญหาอะไรรึไง ? นี่พวกมันดูถูกข้ารึ ? พวกแกมัวรออะไรกันอยู่ ?!”
พวกชาวบ้านธรรมดานั้นมีสถานะต่ำต้อยกว่ามกุฎราชกุมารมาก นี่ทำให้เขารู้สึกว่าโดนดูถูกอยู่
ความคิดเช่นนั้น ผสมผสานเข้ากับสิ่งที่เก็บกดอยู่ในใจของเขา หนองในใจของเขา ความโกรธเกลียดที่ติดอยู่ในใจของเขามานานนับเดือนตั้งแต่เหตุการณ์ที่ปีศาจ บุกโจมตีเมืองหลวง ได้ปะทุออกเหมือนดั่งสายน้ำที่ทะลักออกมาจากเขื่อนที่พังทลายลง
คำพูดนั้นออกมาในทันที
“ไอ้คนพวกทรยศ ! คนทรยศ ! พวกมันทั้งหมดนั่นแหละ ! ข้าขอประกาศว่าทุกคนในหมู่บ้านคาร์นเป็นคนทรยศต่อราชอาณาจักร !”
เสียงตะโกนดังก้องผ่านอากาศไปสู่หูของทหารรอบๆ ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาในหมู่พวกเขา
“องค์ชาย ได้โปรดรอก่อน ! ถ้าท่านทำแบบนั้นมันจะ…”
บาร์โบรจ้องมองอย่างไม่พอใจไปยังอัศวินที่ตอบกลับมาอย่างตื่นตระหนก
ถ้าพวกเขาตัดสินว่าคนในหมู่บ้านนี้เป็นพวกทรยศล่ะก็ พวกเขาจะต้องกำจัดทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านให้หมดจนคนสุดท้าย แล้วเผาหมู่บ้านทิ้งไม่ให้เหลือซากว่าเคยมีหมู่บ้านอยู่ที่นี่
แต่..แล้วไงล่ะ ?
องค์ชายบาร์โบรไม่เข้าใจว่าทำไมพวกผู้ใต้บังคับบัญชาถึงไม่ยอมทำตามคำสั่ง ของเขา ยังไงก็ตาม คนพวกนี้เป็นคนของมาร์ควิส พวกนี้อาจจะดูถูกเขาอยู่และปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งของเขาก็ได้
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร ? การปล่อยให้พวกที่ขัดคำสั่งของราชวงศ์มีชีวิตอยู่ถือเป็นบาปไม่ใช่เรอะ”
นั่นเป็นเรื่องจริง การปล่อยให้มีการก่อกบฏต่อราชวงศ์ถือเป็นการดูถูกพวกเขา การไว้ชีวิตพวกชาวบ้านจะส่งผลกระทบต่ออำนาจในการปกครอง
แม้แต่ในเขตการดูแลของขุนนางเอง ถ้าหากวันนึงผู้ใต้การปกครองของพวกเขาเกิดก่อกบฏขึ้นมา พวกนั้นจะต้องถูกทำลายอย่างไร้ความปราณี เหล่าอัศวินของมาร์ควิสนั้นรู้ถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี
“ได้โปรดรอก่อนองค์ชาย ! สงครามกับจักรวรรดิกำลังจะเริ่มต้นแล้ว ถ้าเรามาฆ่าพลเรือนของราชอาณาจักรตัวเอง จะทำให้ขวัญกำลังของกองทัพลดลงนะพะย่ะค่ะ ! ได้โปรดมองไปที่ป้อมปราการนั่น ที่นี่ไม่มีทางที่จะเป็นหมู่บ้านธรรมดาๆแน่นอน ถึงแม้ว่าประชากรในหมู่บ้านจะไม่มาก แต่การพยายามทำลายประตูที่แกร่งแบบนั้นด้วยกำลังก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี ในกรณีนี้ ข้าว่าควรถามพวกเขาถึงเหตุผลที่ไม่ยอมเปิดประตูจะดีกว่า”
“…ถามพวกมันดีๆล่ะ จากนั้นก็แขวนคอพวกมันซักสองสามคน”
“….มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้สินะ ยังไงพวกนั้นก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านบาร์โบร”
“พวกแกต้องทำให้ประตูเปิดให้ได้ จากนั้นพวกเราจะแสดงตัวอย่างของผู้ขัดขืนให้พวกมันได้เห็น”
“รับทราบพะย่ะค่ะ!”
องค์ชายบาร์โบรจ้องมองไปยังหมู่บ้านคาร์น
อย่างที่อัศวินพูด ประตูที่ทนทานถูกติดตั้งไว้กับกำแพงที่หนาและแข็งแกร่ง การที่หมู่บ้านนี้อยู่ติดกับป่าใหญ่แห่งโทบ บางทีเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องปกติ แต่ว่า จากตำแหน่งที่หอสังเกตการณ์ตั้งอยู่ มันทำให้ที่นี่ดูเหมือนป้อมปราการมากกว่าหมู่บ้านชายแดน
การที่จะทำลายมันคงต้องใช้เวลามากทีเดียว
ทหารมากกว่าหนึ่งพันนาย ยืนเรียงแถวอยู่ที่หน้าประตู ตะโกนให้ด้านในเปิดประตู
ถ้าตั้งใจฟังให้ดี จะได้ยินว่าบางเสียงมาจากที่ที่ห่างออกไป ที่ตรงประตูด้านหลังด้วย
เสียงตะโกนเหล่านี้เป็นเหมือนสะเก็ดไฟที่ตกลงมาบนเชื้อไฟที่เป็นดั่งอารมณ์ ที่สุมอยู่ในใจขององค์ชายบาร์โบร ไฟได้ลุกติดขึ้นมาและเผาไหม้ ทำให้เขาสูญเสียความเยือกเย็นในการคิดไป
“โอ้ย ! ยิงธนูไฟเข้าไปซะ !”
“ไหนลองพูดอีกทีซิ นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?!”
ความโกรธของบาร์โบรแฝงอยู่ในคำพูดทุกคำ เขาพูดผ่านช่องว่างของฟันที่กัดกันแน่น และอัศวินได้ทวนคำรายงานของเขาอีกครั้ง
“ท่านครับ หมู่บ้านคาร์นไม่ยอมเปิดประตูให้เรา”
หลังจากได้ยินคำรายงานของอัศวิน บาร์โบรอยากที่จะต่อยเข้าไปที่หน้าของอัศวินคนนั้น
แต่ว่าการทำแบบนั้นมันเป็นเรื่องโง่ๆ บาร์โบรจึงควบคุมความโกรธเอาไว้ที่หมัดของเขา
อัศวินคนนี้ รวมถึงทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ ไม่มีใครเลยที่สาบานว่าจะรับใช้บาร์โบร ในตอนแรกนั้น บาร์โบรไม่มีกำลังทหารในการควบคุมเลย ทหารที่อยู่ที่นี่ทุกคนล้วนได้รับคำสั่งมาจากเจ้านายที่พวกเขาภักดีด้วย หรือไม่ก็มาที่นี่พร้อมกับเจ้านายของพวกเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่สามารถทำร้ายพันธมิตรของเขาในขณะที่อัศวินคนอื่นๆดู อยู่ได้
“—ทำไม ? ทำไปพวกชาวบ้านในหมู่บ้านคาร์นถึงไม่ยอมเปิดประตูกัน ? พื้นที่แห่งนี้อยู่ในการดูแลโดยตรงของราชวงศ์ พวกมันต้องทำตามคำสั่งข้าสิ ! ถ้าสั่งให้มันเปิดประตูไม่ใช่รึไง ?”
(TN: ได้คำตอบเรื่องภาษีแล้ว คือที่ตรงนี้ไม่มีขุนนางคุม เลยเป็นพวกกษัตริย์คุมที่ตรงนี้โดยตรง แล้วก็จ่ายภาษีตรงให้กับอาณาจักร)
ขณะความอดทนของเขากำลังถึงขีดสุด เลือดของเขาสูบฉีดเร็วขึ้น คำพูดของเขาก็เริ่มขาดการมีเหตุผล
“มีปัญหาอะไรรึไง ? นี่พวกมันดูถูกข้ารึ ? พวกแกมัวรออะไรกันอยู่ ?!”
พวกชาวบ้านธรรมดานั้นมีสถานะต่ำต้อยกว่ามกุฎราชกุมารมาก นี่ทำให้เขารู้สึกว่าโดนดูถูกอยู่
ความคิดเช่นนั้น ผสมผสานเข้ากับสิ่งที่เก็บกดอยู่ในใจของเขา หนองในใจของเขา ความโกรธเกลียดที่ติดอยู่ในใจของเขามานานนับเดือนตั้งแต่เหตุการณ์ที่ปีศาจ บุกโจมตีเมืองหลวง ได้ปะทุออกเหมือนดั่งสายน้ำที่ทะลักออกมาจากเขื่อนที่พังทลายลง
คำพูดนั้นออกมาในทันที
“ไอ้คนพวกทรยศ ! คนทรยศ ! พวกมันทั้งหมดนั่นแหละ ! ข้าขอประกาศว่าทุกคนในหมู่บ้านคาร์นเป็นคนทรยศต่อราชอาณาจักร !”
เสียงตะโกนดังก้องผ่านอากาศไปสู่หูของทหารรอบๆ ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาในหมู่พวกเขา
“องค์ชาย ได้โปรดรอก่อน ! ถ้าท่านทำแบบนั้นมันจะ…”
บาร์โบรจ้องมองอย่างไม่พอใจไปยังอัศวินที่ตอบกลับมาอย่างตื่นตระหนก
ถ้าพวกเขาตัดสินว่าคนในหมู่บ้านนี้เป็นพวกทรยศล่ะก็ พวกเขาจะต้องกำจัดทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านให้หมดจนคนสุดท้าย แล้วเผาหมู่บ้านทิ้งไม่ให้เหลือซากว่าเคยมีหมู่บ้านอยู่ที่นี่
แต่..แล้วไงล่ะ ?
องค์ชายบาร์โบรไม่เข้าใจว่าทำไมพวกผู้ใต้บังคับบัญชาถึงไม่ยอมทำตามคำสั่ง ของเขา ยังไงก็ตาม คนพวกนี้เป็นคนของมาร์ควิส พวกนี้อาจจะดูถูกเขาอยู่และปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งของเขาก็ได้
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร ? การปล่อยให้พวกที่ขัดคำสั่งของราชวงศ์มีชีวิตอยู่ถือเป็นบาปไม่ใช่เรอะ”
นั่นเป็นเรื่องจริง การปล่อยให้มีการก่อกบฏต่อราชวงศ์ถือเป็นการดูถูกพวกเขา การไว้ชีวิตพวกชาวบ้านจะส่งผลกระทบต่ออำนาจในการปกครอง
แม้แต่ในเขตการดูแลของขุนนางเอง ถ้าหากวันนึงผู้ใต้การปกครองของพวกเขาเกิดก่อกบฏขึ้นมา พวกนั้นจะต้องถูกทำลายอย่างไร้ความปราณี เหล่าอัศวินของมาร์ควิสนั้นรู้ถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี
“ได้โปรดรอก่อนองค์ชาย ! สงครามกับจักรวรรดิกำลังจะเริ่มต้นแล้ว ถ้าเรามาฆ่าพลเรือนของราชอาณาจักรตัวเอง จะทำให้ขวัญกำลังของกองทัพลดลงนะพะย่ะค่ะ ! ได้โปรดมองไปที่ป้อมปราการนั่น ที่นี่ไม่มีทางที่จะเป็นหมู่บ้านธรรมดาๆแน่นอน ถึงแม้ว่าประชากรในหมู่บ้านจะไม่มาก แต่การพยายามทำลายประตูที่แกร่งแบบนั้นด้วยกำลังก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี ในกรณีนี้ ข้าว่าควรถามพวกเขาถึงเหตุผลที่ไม่ยอมเปิดประตูจะดีกว่า”
“…ถามพวกมันดีๆล่ะ จากนั้นก็แขวนคอพวกมันซักสองสามคน”
“….มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้สินะ ยังไงพวกนั้นก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านบาร์โบร”
“พวกแกต้องทำให้ประตูเปิดให้ได้ จากนั้นพวกเราจะแสดงตัวอย่างของผู้ขัดขืนให้พวกมันได้เห็น”
“รับทราบพะย่ะค่ะ!”
องค์ชายบาร์โบรจ้องมองไปยังหมู่บ้านคาร์น
อย่างที่อัศวินพูด ประตูที่ทนทานถูกติดตั้งไว้กับกำแพงที่หนาและแข็งแกร่ง การที่หมู่บ้านนี้อยู่ติดกับป่าใหญ่แห่งโทบ บางทีเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องปกติ แต่ว่า จากตำแหน่งที่หอสังเกตการณ์ตั้งอยู่ มันทำให้ที่นี่ดูเหมือนป้อมปราการมากกว่าหมู่บ้านชายแดน
การที่จะทำลายมันคงต้องใช้เวลามากทีเดียว
ทหารมากกว่าหนึ่งพันนาย ยืนเรียงแถวอยู่ที่หน้าประตู ตะโกนให้ด้านในเปิดประตู
ถ้าตั้งใจฟังให้ดี จะได้ยินว่าบางเสียงมาจากที่ที่ห่างออกไป ที่ตรงประตูด้านหลังด้วย
เสียงตะโกนเหล่านี้เป็นเหมือนสะเก็ดไฟที่ตกลงมาบนเชื้อไฟที่เป็นดั่งอารมณ์ ที่สุมอยู่ในใจขององค์ชายบาร์โบร ไฟได้ลุกติดขึ้นมาและเผาไหม้ ทำให้เขาสูญเสียความเยือกเย็นในการคิดไป
“โอ้ย ! ยิงธนูไฟเข้าไปซะ !”
Overlord vol.9 chap 3 part 2.3.4
“พวกท่านที่ตะโกนแบบนั้นออกมาได้แม้ว่าหน้าของพวกท่านจะขาวซีด นั่นมันยอดเยี่ยมมาก แต่ว่าข้าต้องขอโทษด้วยที่มาขัดการตัดสินใจที่ท่านตะโกนออกมาแบบนี้ ไม่ใช่ว่าพวกท่านควรที่จะให้พวกหนุ่มๆหนีไปก่อนรึไง ? จากนั้น ถ้าทุกคนอยากที่จะไปตาย มันก็ควรเป็นพวกเรา และเหล่าคนแก่แล้ว”
และคนมีอายุคนหนึ่งก็พูดขึ้น
“ที่เจ้าว่ามาก็จริงอยู่ ---- แต่มันจะเป็นไปได้หรือ ? ศัตรูล้อมทั้งประตูหน้าและประตูหลังเอาไว้แล้ว ต่อให้เราปีนกำแพงออกไปก็โดนเห็นอยู่ดี”
“นั้นมันก็จริง… ถ้าเราแค่วิ่งหนีแบบธรรมดาน่ะนะ”
ยูเจมยิ้มอย่างชั่วร้าย และเขาก็พูดต่อ
“ในเมื่อเราไม่สามารถซ่อนแล้วหนีได้ งั้นเราจะทำแบบนี้ เราจะเปิดประตูล่อพวกศัตรูเข้ามา ตอนที่พวกมันไม่ทันระวัง เราจะโจมตีพวกนั้นซะ ถ้าเราทำความเสียหายได้มากพอ พวกทหารศัตรูที่กระจายกันออกไปจะหันความสนใจมาที่เรา”
ยูเจมมองไปรอบๆ
“ถึงข้าจะพูดแบบนั้นก็เถอะ ศัตรูอาจจะรู้ว่ามันเป็นอุบายก็ได้ แต่ตราบใดที่สร้างความเสียหายได้มาก ศัตรูก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องรวบรวมกำลังมาที่เรา ใครมีคำถามมั้ย ?”
“ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ แต่ว่าคุณยูเจม จะให้พวกเขาหนีไปไหนล่ะ”
“มันก็แน่อยู่แล้วนี่อาเจ๊ เข้าไปในป่าใหญ่แห่งโทบไง ข้าจะให้อากูกับบริต้าที่รู้จักป่าดีที่สุดเป็นคนนำทางหนี ถ้าเชื่อว่าพวกเราคงทำอะไรได้บ้างถึงจะไม่มีสองคนนั้นอยู่”
ผู้คนในหมู่บ้านนั้น เตรียมใจพร้อมที่จะตายแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาไม่อยากให้ลูกๆของเขาต้องมาตายไปด้วย เมื่อรู้ว่าลูกๆอาจตกอยู่ในอันตราย ทำให้ใจสู้ของพวกเขาลุกโชน
ยูเจมพูดต่อไปด้วยใบหน้าจริงจัง
“ฟังให้ดี การปะทะรอบแรกเพื่อให้ฝั่งศัตรูรวบรวมกำลังทหาร ส่วนการปะทะรอบสองเพื่อทอนกำลังอีกฝ่ายให้มากที่สุด ยิ่งการต่อสู้รุนแรงมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสหนีได้มากขึ้นเท่านั้น”
“ฮ่าๆๆๆๆ ! แค่นั้นเองเรอะ ! ค่อยโล่งอกหน่อย”
คำพูดนั้นดังออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ มันไม่ใช่เสียงหัวเราะที่เกิดจากความสิ้นหวังหรือบ้าคลั่ง แต่เป็นเสียงหัวเราะจากความผ่อนคลาย
“ตราบเท่าที่ลูกเมียข้ายังมีรอดไปได้ ข้าก็ไม่เสียใจทีหลังแล้ว ตอนนี้ล่ะ เป็นเวลาที่จะได้ตอบแทนบุญคุณท่าน ไอน์ โอนว์ โกลว ล่ะ”
“อ่า ใช่แล้ว ! ถ้าข้าต้องแก่ตัวไปเพราะทำตัวเหมือนคนขี้ขลาด ข้าไม่กล้ามองหน้าตัวเองแน่”
“ถ้างั้น… กลุ่มหลบหนีจะเอายังไงดี”
ยูเจมมองไปยังทุกคนอย่างรอบคอบ และตอบคำถามของนฟีเรีย
“อาเจ๊กับอาเฮีย จะรับหน้าที่ปกป้องผู้หญิงและเด็ก แล้วก็อย่างที่ข้าบอกไปเมื่อครู่ บริต้าและอากู กับก๊อบลินคนอื่นๆจะช่วยนำทางกลุ่มหลบหนีเข้าไปในป่า”
“—เอ่อ?”
เอนริร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน เธอมีหน้าที่ที่จะต้องยืนเคียงข้างคนอื่นๆ โดยเฉพาะหลังจากที่เธอสั่งให้พวกเขาไปตาย เธอก็ควรที่จะร่วมต่อสู้อยู่เคียงข้างพวกเขา ถึงกระนั้น ชาวหมู่บ้านก็ยังอุทานด้วยความตื่นเต้นออกมาต่อหน้าเอนริ
ดวงตาของพวกเขาบ่งบอกว่าเห็นด้วยกับยูเจมอย่างที่สุด ในตอนที่เอนริกำลังคิดหาทางปฏิเสธนั้น เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
“เอนริจัง ขอฝากด้วยนะ”
“ช่วยดูแลลูกของข้าด้วยนะ เมียของข้าก็ตายไปแล้ว เพราะงั้น อย่างน้อย… แค่เด็กนี่..”
เหล่าชาวบ้านผลัดกันเข้ามากุมมือเธอไว้ ฝากความคิดและความหวังไว้ที่เธอในขณะที่บีบมือเธอแน่น นฟีเรียเข้ามาหาเอนริที่ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา
“ไปกันเถอะเอนริ เราต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอดต่อไป เราจะมาตายตรงนี้ไม่ได้ แล้วก็บางที ท่านไอน์ โอนว์ โกลว อาจเข้ามาช่วยพวกเราไว้อีกครั้งก็ได้ ถึงตอนนั้นมันคงจะดีกว่าถ้าเราอยู่รอบๆในอาณาเขตของเขา”
“อาเฮียพูดถูกนะ”
“คุณยูเจม…”
“แตรที่อาเจ๊ใช้เรียกพวกเราออกมา… ข้าคิดว่าควรเก็บไว้ใช้หลังจากนี้นะ ถ้าอาเจ๊ใช้มันตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับใช้น้ำแค่แก้วเดียวราดเข้ากองไฟ (น้ำน้อยแพ้ไฟ) มันคงจะดีกว่าถ้าอาเจ๊จะใช้มันเรียกพวกของเราออกมาช่วยหลังจากเรื่องพวกนี้ จบลงแล้วนะ”
เอนริขยี้ตาของเธอที่เต็มไปด้วยน้ำตา
“ชั้นเข้าใจแล้ว ! ชั้นจะปกป้องลูกและภรรยาของทุกคนเอง ! ไปกันเถอะเอนฟี !”
และคนมีอายุคนหนึ่งก็พูดขึ้น
“ที่เจ้าว่ามาก็จริงอยู่ ---- แต่มันจะเป็นไปได้หรือ ? ศัตรูล้อมทั้งประตูหน้าและประตูหลังเอาไว้แล้ว ต่อให้เราปีนกำแพงออกไปก็โดนเห็นอยู่ดี”
“นั้นมันก็จริง… ถ้าเราแค่วิ่งหนีแบบธรรมดาน่ะนะ”
ยูเจมยิ้มอย่างชั่วร้าย และเขาก็พูดต่อ
“ในเมื่อเราไม่สามารถซ่อนแล้วหนีได้ งั้นเราจะทำแบบนี้ เราจะเปิดประตูล่อพวกศัตรูเข้ามา ตอนที่พวกมันไม่ทันระวัง เราจะโจมตีพวกนั้นซะ ถ้าเราทำความเสียหายได้มากพอ พวกทหารศัตรูที่กระจายกันออกไปจะหันความสนใจมาที่เรา”
ยูเจมมองไปรอบๆ
“ถึงข้าจะพูดแบบนั้นก็เถอะ ศัตรูอาจจะรู้ว่ามันเป็นอุบายก็ได้ แต่ตราบใดที่สร้างความเสียหายได้มาก ศัตรูก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องรวบรวมกำลังมาที่เรา ใครมีคำถามมั้ย ?”
“ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ แต่ว่าคุณยูเจม จะให้พวกเขาหนีไปไหนล่ะ”
“มันก็แน่อยู่แล้วนี่อาเจ๊ เข้าไปในป่าใหญ่แห่งโทบไง ข้าจะให้อากูกับบริต้าที่รู้จักป่าดีที่สุดเป็นคนนำทางหนี ถ้าเชื่อว่าพวกเราคงทำอะไรได้บ้างถึงจะไม่มีสองคนนั้นอยู่”
ผู้คนในหมู่บ้านนั้น เตรียมใจพร้อมที่จะตายแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาไม่อยากให้ลูกๆของเขาต้องมาตายไปด้วย เมื่อรู้ว่าลูกๆอาจตกอยู่ในอันตราย ทำให้ใจสู้ของพวกเขาลุกโชน
ยูเจมพูดต่อไปด้วยใบหน้าจริงจัง
“ฟังให้ดี การปะทะรอบแรกเพื่อให้ฝั่งศัตรูรวบรวมกำลังทหาร ส่วนการปะทะรอบสองเพื่อทอนกำลังอีกฝ่ายให้มากที่สุด ยิ่งการต่อสู้รุนแรงมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสหนีได้มากขึ้นเท่านั้น”
“ฮ่าๆๆๆๆ ! แค่นั้นเองเรอะ ! ค่อยโล่งอกหน่อย”
คำพูดนั้นดังออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ มันไม่ใช่เสียงหัวเราะที่เกิดจากความสิ้นหวังหรือบ้าคลั่ง แต่เป็นเสียงหัวเราะจากความผ่อนคลาย
“ตราบเท่าที่ลูกเมียข้ายังมีรอดไปได้ ข้าก็ไม่เสียใจทีหลังแล้ว ตอนนี้ล่ะ เป็นเวลาที่จะได้ตอบแทนบุญคุณท่าน ไอน์ โอนว์ โกลว ล่ะ”
“อ่า ใช่แล้ว ! ถ้าข้าต้องแก่ตัวไปเพราะทำตัวเหมือนคนขี้ขลาด ข้าไม่กล้ามองหน้าตัวเองแน่”
“ถ้างั้น… กลุ่มหลบหนีจะเอายังไงดี”
ยูเจมมองไปยังทุกคนอย่างรอบคอบ และตอบคำถามของนฟีเรีย
“อาเจ๊กับอาเฮีย จะรับหน้าที่ปกป้องผู้หญิงและเด็ก แล้วก็อย่างที่ข้าบอกไปเมื่อครู่ บริต้าและอากู กับก๊อบลินคนอื่นๆจะช่วยนำทางกลุ่มหลบหนีเข้าไปในป่า”
“—เอ่อ?”
เอนริร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน เธอมีหน้าที่ที่จะต้องยืนเคียงข้างคนอื่นๆ โดยเฉพาะหลังจากที่เธอสั่งให้พวกเขาไปตาย เธอก็ควรที่จะร่วมต่อสู้อยู่เคียงข้างพวกเขา ถึงกระนั้น ชาวหมู่บ้านก็ยังอุทานด้วยความตื่นเต้นออกมาต่อหน้าเอนริ
ดวงตาของพวกเขาบ่งบอกว่าเห็นด้วยกับยูเจมอย่างที่สุด ในตอนที่เอนริกำลังคิดหาทางปฏิเสธนั้น เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
“เอนริจัง ขอฝากด้วยนะ”
“ช่วยดูแลลูกของข้าด้วยนะ เมียของข้าก็ตายไปแล้ว เพราะงั้น อย่างน้อย… แค่เด็กนี่..”
เหล่าชาวบ้านผลัดกันเข้ามากุมมือเธอไว้ ฝากความคิดและความหวังไว้ที่เธอในขณะที่บีบมือเธอแน่น นฟีเรียเข้ามาหาเอนริที่ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา
“ไปกันเถอะเอนริ เราต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอดต่อไป เราจะมาตายตรงนี้ไม่ได้ แล้วก็บางที ท่านไอน์ โอนว์ โกลว อาจเข้ามาช่วยพวกเราไว้อีกครั้งก็ได้ ถึงตอนนั้นมันคงจะดีกว่าถ้าเราอยู่รอบๆในอาณาเขตของเขา”
“อาเฮียพูดถูกนะ”
“คุณยูเจม…”
“แตรที่อาเจ๊ใช้เรียกพวกเราออกมา… ข้าคิดว่าควรเก็บไว้ใช้หลังจากนี้นะ ถ้าอาเจ๊ใช้มันตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับใช้น้ำแค่แก้วเดียวราดเข้ากองไฟ (น้ำน้อยแพ้ไฟ) มันคงจะดีกว่าถ้าอาเจ๊จะใช้มันเรียกพวกของเราออกมาช่วยหลังจากเรื่องพวกนี้ จบลงแล้วนะ”
เอนริขยี้ตาของเธอที่เต็มไปด้วยน้ำตา
“ชั้นเข้าใจแล้ว ! ชั้นจะปกป้องลูกและภรรยาของทุกคนเอง ! ไปกันเถอะเอนฟี !”
Overlord vol.9 chap 3 part 2.4.1
ด้านหนึ่งของประตูค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ
“รู้อย่างนี้เราน่าจะยิงธนูไฟซะตั้งแต่แรก ธนูไฟที่เตรียมจะยิงตามไปเสียของซะแล้ว”
องค์ชายบาร์โบรทำหน้าบึ้ง พวกเขาเสียเวลาไปมากมาย เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป พวกเขาจึงจำเป็นต้องใช้กำลัง แต่เรื่องนี้มันก็ช่วยไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะคนของเจ้ามาควิสนั่น ถ้าเขาไม่สั่งให้ยิงธนูไฟ ใครจะไปรู้ มันอาจต้องใช้เวลามากกว่านี้มากก็ได้
บาร์โบรมองขึ้นไปยังท้องฟ้า โทษความโชคร้ายของเขาที่ได้ลูกน้องไร้ความสามารถมา
เขากำลังคิดว่าต่อจากนี้จะใช้เวลามากแค่ไหน – อย่างแรกจะใช้เวลาแค่ไหนในการแขวนคอชาวบ้านในหมู่บ้าน
เขาจะแขวนคอชาวบ้านไว้ที่กำแพงหมู่บ้าน เพื่อแสดงให้เห็นว่าจุดจบของคนโง่ที่คิดต่อต้านราชวงศ์เป็นยังไง
จากนั้น เขาก็จะหาใครบางคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไอน์ โอนว์ โกลว บางที นี่อาจจะใช้เวลามากกว่าการแขวนคอชาวบ้านก็ได้
“บ้าชิบ ข้าน่าจะพาผู้ไต่สวนมาด้วย ก่อนอื่น เราก็ทำทีเป็นว่าจะไว้ชีวิตคนที่ให้ความร่วมมือ ….จากนั้นค่อยฆ่ามันทีหลัง รวมทั้งพวกเด็กๆด้วย…”
มันไม่มีความหมายที่จะไว้ชีวิตพวกนั้น ตั้งแต่แรกแล้ว เด็กๆไม่มีทางรอดไปได้ถ้าไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย เพราะงั้นการแขวนคอลูกๆไปพร้อมๆกับพ่อแม่นั่นเป็นความเมตตาซะมากกว่า
“นี่เรามีเชือกมากพอจะแขวนคอพวกมันทุกคนรึเปล่านะ ถ้าเราหาเพิ่มได้จากในหมู่บ้านก็คงจะดี”
เหล่าทหารที่อยู่ใกล้กับประตูค่อยๆเดินหน้าเข้าไปอย่างช้าๆ ในใจขององค์ชายบาร์โบรเต็มไปด้วยความทะนงตนเมื่อเห็นธงของราชวงศ์นำหน้าเข้า ไป เมื่อเขาขึ้นครองราชย์ เขาจะต้องจัดงานราชพิธีให้มีทหารถือธงแบบนั้นแน่ๆ
เหล่าทหารที่ถือธงเบียดตัวกันเข้าไปในประตู --- แล้วก็โดนโยนออกมา
แล้วต่อมา สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่โยนพวกเขาออกมาก็ปรากฏตัวให้เห็นที่หน้าประตู
“---อะ-อะ-ออร์ค ?! พวกออร์คมันมาทำอะไรที่นี่ ?!”
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันทำให้องค์ชายบาร์โบรตกใจอย่างมาก เขาตกใจจนลืมเกียรติยศของราชวงศ์ไปเลย
ใช่แล้ว ที่อยู่ตรงนั้นคือพวกอมนุษย์ที่รู้จักกันในนามว่า ออร์ค พวกทหารเองก็ตกใจกับการปรากฏตัวของมันเช่นเดียวกับบาร์โบร กระบองทรงพลังของมันส่งผู้คนมากมายกระเด็นไปทุกๆครั้งที่เหวี่ยง
ท่ามกลางเลือดที่ซ่ากระเซ็น เหล่าทหารที่ถูกโจมตีลอยออกมาและกระแทกลงกับพื้น และรีบกลิ้งเพื่อหลบทหารที่ลอยตามมา ทหารที่ถูกโจมตีรีบวิ่งหนีออกมาจากประตูในทันที ดั่งต้องการจะไล่ตามทหารที่หนีไป เหล่าออร์คอีกจำนวนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านในของประตู
เหล่าทหารถอยกลับด้วยความพ่ายแพ้ที่น่าอับอาย พวกเขาถูกส่งลอยไปในอากาศด้วยการหวดจากกระบองของเหล่าออร์ค
เหตุผลสำหรับการหนีที่ไม่น่าดู ซึ่งต่างกับการถอยทัพอย่างสิ้นเชิงนี้ เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นเป็นทหารของบารอน พวกเขายิงธนูไฟเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อที่จะชิงสิทธิ์ในการผ่านเข้าประตูไป เป็นพวกแรก ใครจะไปคิดว่าการกระทำเพื่อเกียรติยศของพวกเขาจะทำให้มาเจออะไรแบบนี้ ?
องค์ชายบาร์โบรจ้องมองไปที่บารอน ที่ทิ้งลูกน้องของเขาแล้วกำลังวิ่งหนีกลับมา ในชั่วขณะนั้นมีเสียงแตรดังก้องขึ้นมาในอากาศ
เหล่าอัศวินของมาร์ควิสยกหอกขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง เป็นการเคลื่อนไหวตามตำราที่แสดงให้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นมืออาชีพที่ฝึก มาอย่างดี อย่างไรก็ตาม มันเป็นการยากที่พวกเขาจะพุ่งเข้าไปโจมตีท่ามกลางเหล่าทหารราบที่กำหลังวิ่ง หนีและต่อสู้กับพวกออร์คอย่างอลหม่านอยู่
การพุ่งเข้าโจมตีของเหล่าอัศวินบนหลังม้าเป็นการโจมตีที่มีพลังร้ายกาจใน สนามรบ แต่ในการต่อสู้ระยะประชิด เหล่าทหารม้าจะสูญเสียข้อได้เปรียบนั้นไป
“ทำไมพวกแกยังไม่ยิงมันอีก”
เสียงตะโกนนั้นเป็นของบาร์โบร
การปล่อยให้พวกออร์ครุกคืบเข้ามาใกล้มีเพิ่มความสูญเสียให้แก่กองทัพ มันคงจะดีกว่าถ้าจะสละทหารและฆ่าพวกชาวบ้านไปบ้างพร้อมๆกับศัตรู
ในตอนที่บาร์โบรเริ่มจะโจมตีอย่างรุนแรงนั้นเอง เหล่าออร์คได้ถอยทัพอย่างรวดเร็ว พวกมันใช้ทหารราบที่กำลังวิ่งหนีเป็นโล่เนื้อป้องกันการพุ่งโจมตีจากทหารม้า แล้วในที่สุดพวกออร์คก็ถอยกลับเข้าไปในประตูจนหมด
หลังจากได้ตรวจสอบผู้รอดชีวิตแล้ว บาร์โบรก็เริ่มการจัดขบวนทัพใหม่ มือของเขากำบังเหียนแน่นขึ้น และแน่นขึ้น ตามความโกรธของเขา
ในตอนแรก เขาวางแผนไว้ว่าจะจบภารกิจน่าเบื่อแบบนี้อย่างรวดเร็ว และรีบกลับไปยังสนามรบเพื่อคว้าเกียรติยศในสงครามกับจักรวรรดิ
แต่ตอนนี้ ความวุ่นวายตรงหน้าคืออย่างเดียวที่เหลือในความคิดของเขา
“รู้อย่างนี้เราน่าจะยิงธนูไฟซะตั้งแต่แรก ธนูไฟที่เตรียมจะยิงตามไปเสียของซะแล้ว”
องค์ชายบาร์โบรทำหน้าบึ้ง พวกเขาเสียเวลาไปมากมาย เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป พวกเขาจึงจำเป็นต้องใช้กำลัง แต่เรื่องนี้มันก็ช่วยไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะคนของเจ้ามาควิสนั่น ถ้าเขาไม่สั่งให้ยิงธนูไฟ ใครจะไปรู้ มันอาจต้องใช้เวลามากกว่านี้มากก็ได้
บาร์โบรมองขึ้นไปยังท้องฟ้า โทษความโชคร้ายของเขาที่ได้ลูกน้องไร้ความสามารถมา
เขากำลังคิดว่าต่อจากนี้จะใช้เวลามากแค่ไหน – อย่างแรกจะใช้เวลาแค่ไหนในการแขวนคอชาวบ้านในหมู่บ้าน
เขาจะแขวนคอชาวบ้านไว้ที่กำแพงหมู่บ้าน เพื่อแสดงให้เห็นว่าจุดจบของคนโง่ที่คิดต่อต้านราชวงศ์เป็นยังไง
จากนั้น เขาก็จะหาใครบางคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไอน์ โอนว์ โกลว บางที นี่อาจจะใช้เวลามากกว่าการแขวนคอชาวบ้านก็ได้
“บ้าชิบ ข้าน่าจะพาผู้ไต่สวนมาด้วย ก่อนอื่น เราก็ทำทีเป็นว่าจะไว้ชีวิตคนที่ให้ความร่วมมือ ….จากนั้นค่อยฆ่ามันทีหลัง รวมทั้งพวกเด็กๆด้วย…”
มันไม่มีความหมายที่จะไว้ชีวิตพวกนั้น ตั้งแต่แรกแล้ว เด็กๆไม่มีทางรอดไปได้ถ้าไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย เพราะงั้นการแขวนคอลูกๆไปพร้อมๆกับพ่อแม่นั่นเป็นความเมตตาซะมากกว่า
“นี่เรามีเชือกมากพอจะแขวนคอพวกมันทุกคนรึเปล่านะ ถ้าเราหาเพิ่มได้จากในหมู่บ้านก็คงจะดี”
เหล่าทหารที่อยู่ใกล้กับประตูค่อยๆเดินหน้าเข้าไปอย่างช้าๆ ในใจขององค์ชายบาร์โบรเต็มไปด้วยความทะนงตนเมื่อเห็นธงของราชวงศ์นำหน้าเข้า ไป เมื่อเขาขึ้นครองราชย์ เขาจะต้องจัดงานราชพิธีให้มีทหารถือธงแบบนั้นแน่ๆ
เหล่าทหารที่ถือธงเบียดตัวกันเข้าไปในประตู --- แล้วก็โดนโยนออกมา
แล้วต่อมา สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่โยนพวกเขาออกมาก็ปรากฏตัวให้เห็นที่หน้าประตู
“---อะ-อะ-ออร์ค ?! พวกออร์คมันมาทำอะไรที่นี่ ?!”
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันทำให้องค์ชายบาร์โบรตกใจอย่างมาก เขาตกใจจนลืมเกียรติยศของราชวงศ์ไปเลย
ใช่แล้ว ที่อยู่ตรงนั้นคือพวกอมนุษย์ที่รู้จักกันในนามว่า ออร์ค พวกทหารเองก็ตกใจกับการปรากฏตัวของมันเช่นเดียวกับบาร์โบร กระบองทรงพลังของมันส่งผู้คนมากมายกระเด็นไปทุกๆครั้งที่เหวี่ยง
ท่ามกลางเลือดที่ซ่ากระเซ็น เหล่าทหารที่ถูกโจมตีลอยออกมาและกระแทกลงกับพื้น และรีบกลิ้งเพื่อหลบทหารที่ลอยตามมา ทหารที่ถูกโจมตีรีบวิ่งหนีออกมาจากประตูในทันที ดั่งต้องการจะไล่ตามทหารที่หนีไป เหล่าออร์คอีกจำนวนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านในของประตู
เหล่าทหารถอยกลับด้วยความพ่ายแพ้ที่น่าอับอาย พวกเขาถูกส่งลอยไปในอากาศด้วยการหวดจากกระบองของเหล่าออร์ค
เหตุผลสำหรับการหนีที่ไม่น่าดู ซึ่งต่างกับการถอยทัพอย่างสิ้นเชิงนี้ เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นเป็นทหารของบารอน พวกเขายิงธนูไฟเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อที่จะชิงสิทธิ์ในการผ่านเข้าประตูไป เป็นพวกแรก ใครจะไปคิดว่าการกระทำเพื่อเกียรติยศของพวกเขาจะทำให้มาเจออะไรแบบนี้ ?
องค์ชายบาร์โบรจ้องมองไปที่บารอน ที่ทิ้งลูกน้องของเขาแล้วกำลังวิ่งหนีกลับมา ในชั่วขณะนั้นมีเสียงแตรดังก้องขึ้นมาในอากาศ
เหล่าอัศวินของมาร์ควิสยกหอกขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง เป็นการเคลื่อนไหวตามตำราที่แสดงให้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นมืออาชีพที่ฝึก มาอย่างดี อย่างไรก็ตาม มันเป็นการยากที่พวกเขาจะพุ่งเข้าไปโจมตีท่ามกลางเหล่าทหารราบที่กำหลังวิ่ง หนีและต่อสู้กับพวกออร์คอย่างอลหม่านอยู่
การพุ่งเข้าโจมตีของเหล่าอัศวินบนหลังม้าเป็นการโจมตีที่มีพลังร้ายกาจใน สนามรบ แต่ในการต่อสู้ระยะประชิด เหล่าทหารม้าจะสูญเสียข้อได้เปรียบนั้นไป
“ทำไมพวกแกยังไม่ยิงมันอีก”
เสียงตะโกนนั้นเป็นของบาร์โบร
การปล่อยให้พวกออร์ครุกคืบเข้ามาใกล้มีเพิ่มความสูญเสียให้แก่กองทัพ มันคงจะดีกว่าถ้าจะสละทหารและฆ่าพวกชาวบ้านไปบ้างพร้อมๆกับศัตรู
ในตอนที่บาร์โบรเริ่มจะโจมตีอย่างรุนแรงนั้นเอง เหล่าออร์คได้ถอยทัพอย่างรวดเร็ว พวกมันใช้ทหารราบที่กำลังวิ่งหนีเป็นโล่เนื้อป้องกันการพุ่งโจมตีจากทหารม้า แล้วในที่สุดพวกออร์คก็ถอยกลับเข้าไปในประตูจนหมด
หลังจากได้ตรวจสอบผู้รอดชีวิตแล้ว บาร์โบรก็เริ่มการจัดขบวนทัพใหม่ มือของเขากำบังเหียนแน่นขึ้น และแน่นขึ้น ตามความโกรธของเขา
ในตอนแรก เขาวางแผนไว้ว่าจะจบภารกิจน่าเบื่อแบบนี้อย่างรวดเร็ว และรีบกลับไปยังสนามรบเพื่อคว้าเกียรติยศในสงครามกับจักรวรรดิ
แต่ตอนนี้ ความวุ่นวายตรงหน้าคืออย่างเดียวที่เหลือในความคิดของเขา
Overlord vol.9 chap 3 part 2.4.2
ถึงแม้ว่าการปรากฏตัวของพวกออร์คจะเป็นเรื่องไม่คาดฝัน แต่ถ้าพวกเขาเอาคนที่จำเป็นกลับไปยังอีรันเทลไม่ได้ ยังจะทำให้ชื่อเสียงของเขาด่างพร้อยมากไปกว่านี้
ซึ่งนั่นอาจทำให้เขาพ่ายแพ้ในการแข่งชิงบัลลังค์กับซาแนค ผู้สืบทอดลำดับต่อไปก็เป็นได้
หรือว่าบางที---ทั้งหมดนี่ถูกวางแผนไว้ก่อนแล้ว ?
เขาเดาะลิ้นด้วยความรำคาญ เมื่อรู้ว่าสายตาของเหล่าขุนนางรอบๆทุกคู่มองมายังเขา
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีเวลาจะสนใจอะไรพวกนั้น บาร์โบรจ้องมองไปที่อัศวินที่กำลังเข้ามาหาเขา อัศวินคนนั้นคือผู้บัญชาการของกลุ่มทหารของมาร์ควิส
“…เมื่อกี้มันอะไรกัน ? หมู่บ้านนี้ถูกพวกออร์คยึดไปแล้วรึไง ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?!”
“มะ-มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นพะย่ะค่ะ ไม่มีใครคิดว่าจะมีมอนสเตอร์อยู่ที่นั่น เพิ่งจะมีผู้เก็บภาษีเข้าไปที่หมู่บ้านนั่นเมื่อเร็วๆนี้ แต่เราไม่เคยได้รับรายงานว่ามีพวกออร์คอยู่ที่นั่น ถ้าพวกเขาเข้าไปที่หมู่บ้านแล้วไม่ได้กลับมานั่นมันถึงจะผิดปกติ มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาที่หมู่บ้านนั้นกันแน่”
เขารู้สึกได้ถึงความสับสนจากคำพูดของอัศวิน ถ้ามันมีการจัดฉากให้บาร์โบรติดกับดักและเสื่อมเสียเกียรติ อัศวินคนนี้ก็คงไม่ได้รู้เรื่องอะไรเหมือนกัน
นั่นหมายความว่า ตอนนี้เขาอยู่ข้างเดียวกับองค์ชาย
“ในตอนนี้ เรายังไม่รู้จักพวกศัตรูดีพอ นี่เป็นแค่การคาดการณ์ ตอนนี้มีพวกออร์คแค่ 5 ตัวที่ปรากฏตัวออกมา ถ้าพวกมันมีจำนวนมากกว่านี้มันก็คงไล่โจมตีเราอย่างต่อเนื่องแล้ว เพราะงั้น ดูเหมือนว่าบางทีพวกมันคงมีกันไม่เกิน 10 ตัว แค่จัดการออร์ค 5 ตัวแกทำกันได้ใช่มั้ย ?”
“แน่นอน ! พวกเราทุกคนเป็นสมาชิกที่แข็งแกร่งภายใต้นามนักรบแห่งราชอาณาจักร แค่พวกออร์คห้าตัวไม่ครณามือเราอยู่แล้ว !”
“ข้าไม่ได้สงสัยในตัวเจ้า ข้าแค่เตือนให้เจ้าระวังเท่านั้น พวกออร์คเป็นพวกโง่แต่ตอนนี้พวกมันทำตัวเหมือนมันมีสติปัญญา พวกมันเปิดประตูเพื่อล่อเราเข้าไป จากนั้นก็โจมตีกลับในจังหวะที่ดีที่สุด เหมือนกับว่าทางฝั่งนั้นก็มีผู้บัญชาการอยู่ ถ้าหนึ่งในพวกชาวบ้านคอยนำพวกมันอยู่…”
“ขออภัยในความหยาบคายของข้าด้วย แต่ว่าไม่มีชาวบ้านธรรมดาคนไหนควบคุมพวกมันได้หรอก ข้าเชื่อว่ามันต้องมีกองกำลังอื่นอยู่ที่นี่แน่ ถ้าเราหาข้อมูลของศัตรูเพิ่ม---”
บาร์โบรไม่สามารถควบคุมความร้อนใจของเขาได้อีกต่อไป
“นี่แกพล่ามบ้าอะไร ? ดูนั่น !”
บาร์โปรชี้ไปที่ประตู ที่ธงของราชวงศ์ซึ่งขาดรุ่งริ่ง
“ธงของประเทศอยู่ในสภาพน่าอนาถแบบนั้น แกจะต้องทำลายหมู่บ้านนั่นให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม รวบรวมคนของแก ยิงธนูไฟ แล้วเผาไอ้หมู่บ้านนั่นให้ราบซะ ตอนนี้ได้เวลาใช้ประโยชน์จากประสบการณ์การปิดล้อมที่สั่งสมมาแล้ว พวกแกจะต้องโจมตีด้วยความตั้งใจว่าจะเผาหมู่บ้านนั่นให้เป็นธุลีดิน !”
“ได้โปรดรอก่อน ! บางทีมันอาจจะมีพ่อมดออร์ค หรือพวกอมนุษย์ที่มีสติปัญญาสูงที่คอยล้างสมองแล้วบงการอยู่ที่นี่ก็ได้ ไม่ใช่พวกชาวบ้าน !”
“ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วไงล่ะ ?”
บาร์โบรมองไปที่อัศวิน สีหน้าของเขาดูงุนงง และเริ่มอธิบายช้าๆ เหมือนผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนเด็ก
”
“นี่แกกำลังฟังอยู่รึเปล่า ? มันจะมีอะไรต่างไปรึไงถ้าพวกชาวบ้านนั่นถูกออร์คหรือพวกอมนุษย์ที่มีสติ ปัญญาควบคุมอยู่ ? ชาวบ้านพวกนั้นก่อกบฏต่อผู้ที่มีอำนาจควบคุมแผ่นดินนี้ ต่อราชวงศ์เชียวนะ ด้วยเหตุนี้เราต้องแสดงผลของการกระทำโง่ๆนี่ให้โลกได้เห็น”
“แต่ว่าพวกชาวบ้านบางคนอาจถูกจับเป็นตัวประกันก็ได้ ถ้าแบบนั้นพวกเขาก็เป็นคนบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ”
“ตกลงนี่แกฟังที่ข้าพูดเมื่อกี้รึเปล่า ? ถ้าเป็นแบบงั้นแล้วยังไงล่ะ ?”
บาร์โบรยักไหล่ให้กับอัศวิน ผู้ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังมีปัญหาในการยอมรับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจว่าเจ้ารู้สึกยังไง งั้นเอางี้ ข้าจะผ่อนผันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกัน จับตัวชาวบ้านที่ไม่ขัดขืนเอาไว้ จากนั้นเราค่อยพิจารณาโทษมันทีหลัง แบบนี้ดีกว่ามั้ย ?”
“เข้าใจแล้วพะย่ะค่ะ”
อัศวินโค้งต่ำให้กับบาร์โบร หลังจากได้ยินอัศวินตอบรับอย่างแข็งขัน บาร์โบรพยักหน้าอย่างพอใจ
“แต่ถ้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ข้าต้องการชัยชนะอย่างท่วมท้น ถ้าเราแพ้ที่ลือ ข่าวลือมันจะกระจายไปทั่ว เจ้าก็เหมือนกัน ผู้คนจะพูดถึงว่าไพ่ตายอย่างทหารของมาร์ควิสที่ถูกส่งไปหมู่บ้านบ้านนอกโชก เลือดกลับมา”
“แต่ว่า นั่นมันเพราะพวกออร์ค—”
“—แกใช้มันเป็นข้ออ้างไม่ได้หรอกนะ นั่นเป็นวิถีของโลกนี้”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“ถ้าเจ้าเข้าใจแล้วก็ไปลงมือได้ รวบรวมทหารจากประตูหลังมา แล้วก็ตัดต้นไม้ในป่ามาทำเป็นท่อนซุงทำลายประตูซะ (battering rams ลิ่มไม้ที่เห็นในหนังโบราณที่จะใช้คนหามเอาไปชนประตูให้ล็อคพัง ไม่รู้จะเรียกไทยว่าไง) ข้าขอมอบรายละเอียดปลีกย่อยให้แกจัดการ ลดความเสียหายให้มากที่สุด แล้วก็ทำให้แน่ใจว่าจะชนะ ฆ่าทุกคนที่หนีด้วย”
หรือว่าบางที---ทั้งหมดนี่ถูกวางแผนไว้ก่อนแล้ว ?
เขาเดาะลิ้นด้วยความรำคาญ เมื่อรู้ว่าสายตาของเหล่าขุนนางรอบๆทุกคู่มองมายังเขา
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีเวลาจะสนใจอะไรพวกนั้น บาร์โบรจ้องมองไปที่อัศวินที่กำลังเข้ามาหาเขา อัศวินคนนั้นคือผู้บัญชาการของกลุ่มทหารของมาร์ควิส
“…เมื่อกี้มันอะไรกัน ? หมู่บ้านนี้ถูกพวกออร์คยึดไปแล้วรึไง ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?!”
“มะ-มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นพะย่ะค่ะ ไม่มีใครคิดว่าจะมีมอนสเตอร์อยู่ที่นั่น เพิ่งจะมีผู้เก็บภาษีเข้าไปที่หมู่บ้านนั่นเมื่อเร็วๆนี้ แต่เราไม่เคยได้รับรายงานว่ามีพวกออร์คอยู่ที่นั่น ถ้าพวกเขาเข้าไปที่หมู่บ้านแล้วไม่ได้กลับมานั่นมันถึงจะผิดปกติ มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาที่หมู่บ้านนั้นกันแน่”
เขารู้สึกได้ถึงความสับสนจากคำพูดของอัศวิน ถ้ามันมีการจัดฉากให้บาร์โบรติดกับดักและเสื่อมเสียเกียรติ อัศวินคนนี้ก็คงไม่ได้รู้เรื่องอะไรเหมือนกัน
นั่นหมายความว่า ตอนนี้เขาอยู่ข้างเดียวกับองค์ชาย
“ในตอนนี้ เรายังไม่รู้จักพวกศัตรูดีพอ นี่เป็นแค่การคาดการณ์ ตอนนี้มีพวกออร์คแค่ 5 ตัวที่ปรากฏตัวออกมา ถ้าพวกมันมีจำนวนมากกว่านี้มันก็คงไล่โจมตีเราอย่างต่อเนื่องแล้ว เพราะงั้น ดูเหมือนว่าบางทีพวกมันคงมีกันไม่เกิน 10 ตัว แค่จัดการออร์ค 5 ตัวแกทำกันได้ใช่มั้ย ?”
“แน่นอน ! พวกเราทุกคนเป็นสมาชิกที่แข็งแกร่งภายใต้นามนักรบแห่งราชอาณาจักร แค่พวกออร์คห้าตัวไม่ครณามือเราอยู่แล้ว !”
“ข้าไม่ได้สงสัยในตัวเจ้า ข้าแค่เตือนให้เจ้าระวังเท่านั้น พวกออร์คเป็นพวกโง่แต่ตอนนี้พวกมันทำตัวเหมือนมันมีสติปัญญา พวกมันเปิดประตูเพื่อล่อเราเข้าไป จากนั้นก็โจมตีกลับในจังหวะที่ดีที่สุด เหมือนกับว่าทางฝั่งนั้นก็มีผู้บัญชาการอยู่ ถ้าหนึ่งในพวกชาวบ้านคอยนำพวกมันอยู่…”
“ขออภัยในความหยาบคายของข้าด้วย แต่ว่าไม่มีชาวบ้านธรรมดาคนไหนควบคุมพวกมันได้หรอก ข้าเชื่อว่ามันต้องมีกองกำลังอื่นอยู่ที่นี่แน่ ถ้าเราหาข้อมูลของศัตรูเพิ่ม---”
บาร์โบรไม่สามารถควบคุมความร้อนใจของเขาได้อีกต่อไป
“นี่แกพล่ามบ้าอะไร ? ดูนั่น !”
บาร์โปรชี้ไปที่ประตู ที่ธงของราชวงศ์ซึ่งขาดรุ่งริ่ง
“ธงของประเทศอยู่ในสภาพน่าอนาถแบบนั้น แกจะต้องทำลายหมู่บ้านนั่นให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม รวบรวมคนของแก ยิงธนูไฟ แล้วเผาไอ้หมู่บ้านนั่นให้ราบซะ ตอนนี้ได้เวลาใช้ประโยชน์จากประสบการณ์การปิดล้อมที่สั่งสมมาแล้ว พวกแกจะต้องโจมตีด้วยความตั้งใจว่าจะเผาหมู่บ้านนั่นให้เป็นธุลีดิน !”
“ได้โปรดรอก่อน ! บางทีมันอาจจะมีพ่อมดออร์ค หรือพวกอมนุษย์ที่มีสติปัญญาสูงที่คอยล้างสมองแล้วบงการอยู่ที่นี่ก็ได้ ไม่ใช่พวกชาวบ้าน !”
“ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วไงล่ะ ?”
บาร์โบรมองไปที่อัศวิน สีหน้าของเขาดูงุนงง และเริ่มอธิบายช้าๆ เหมือนผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนเด็ก
”
“นี่แกกำลังฟังอยู่รึเปล่า ? มันจะมีอะไรต่างไปรึไงถ้าพวกชาวบ้านนั่นถูกออร์คหรือพวกอมนุษย์ที่มีสติ ปัญญาควบคุมอยู่ ? ชาวบ้านพวกนั้นก่อกบฏต่อผู้ที่มีอำนาจควบคุมแผ่นดินนี้ ต่อราชวงศ์เชียวนะ ด้วยเหตุนี้เราต้องแสดงผลของการกระทำโง่ๆนี่ให้โลกได้เห็น”
“แต่ว่าพวกชาวบ้านบางคนอาจถูกจับเป็นตัวประกันก็ได้ ถ้าแบบนั้นพวกเขาก็เป็นคนบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ”
“ตกลงนี่แกฟังที่ข้าพูดเมื่อกี้รึเปล่า ? ถ้าเป็นแบบงั้นแล้วยังไงล่ะ ?”
บาร์โบรยักไหล่ให้กับอัศวิน ผู้ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังมีปัญหาในการยอมรับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจว่าเจ้ารู้สึกยังไง งั้นเอางี้ ข้าจะผ่อนผันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกัน จับตัวชาวบ้านที่ไม่ขัดขืนเอาไว้ จากนั้นเราค่อยพิจารณาโทษมันทีหลัง แบบนี้ดีกว่ามั้ย ?”
“เข้าใจแล้วพะย่ะค่ะ”
อัศวินโค้งต่ำให้กับบาร์โบร หลังจากได้ยินอัศวินตอบรับอย่างแข็งขัน บาร์โบรพยักหน้าอย่างพอใจ
“แต่ถ้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ข้าต้องการชัยชนะอย่างท่วมท้น ถ้าเราแพ้ที่ลือ ข่าวลือมันจะกระจายไปทั่ว เจ้าก็เหมือนกัน ผู้คนจะพูดถึงว่าไพ่ตายอย่างทหารของมาร์ควิสที่ถูกส่งไปหมู่บ้านบ้านนอกโชก เลือดกลับมา”
“แต่ว่า นั่นมันเพราะพวกออร์ค—”
“—แกใช้มันเป็นข้ออ้างไม่ได้หรอกนะ นั่นเป็นวิถีของโลกนี้”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“ถ้าเจ้าเข้าใจแล้วก็ไปลงมือได้ รวบรวมทหารจากประตูหลังมา แล้วก็ตัดต้นไม้ในป่ามาทำเป็นท่อนซุงทำลายประตูซะ (battering rams ลิ่มไม้ที่เห็นในหนังโบราณที่จะใช้คนหามเอาไปชนประตูให้ล็อคพัง ไม่รู้จะเรียกไทยว่าไง) ข้าขอมอบรายละเอียดปลีกย่อยให้แกจัดการ ลดความเสียหายให้มากที่สุด แล้วก็ทำให้แน่ใจว่าจะชนะ ฆ่าทุกคนที่หนีด้วย”
Overlord vol.9 chap 3 part 2.4.3
ไหบรรจุน้ำมันถูกขว้างมาที่กำแพงอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยลูกธนูไฟ
แรงระเบิดของมันเทียบได้กับการเผาไหม้ของเวทย์”ไฟบอล” ก่อให้เกิดเปลวไฟสีแดงฉานและเขม่าควันสีดำที่ไร้ที่สิ้นสุด
ยูเจมรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจที่แผ่ออกมาจากสมาชิกของกองกำลังป้องกัน หัวหน้าก๊อบลินชูดาบเวทย์มนของเขาขึ้น และคำรามก้อง
“ใจเย็นไว้ ! ไฟแค่นี้ทำให้กำแพงแตกไม่ได้หรอก ! เหมือนกับการป้องกันของประตู---”
เสียงกระแทกอย่างรุนแรง ตึงงง ดังมาจากอีกด้านของประตู
กำแพงนั้นทั้งหนาและใหญ่กว่าหอสังเกตการณ์ที่ตอนนี้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ถึงมันจะโดนยิงด้วยธนูไฟ มันก็ไม่ได้ติดไฟง่ายนัก ดังนั้นพวกเขาจึงสรุปว่านี่เป็นการดึงความสนใจไปจากเป้าหมายที่แท้จริง มากกว่า นั่นก็คือการทำลายประตู เหมือนว่านี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้อง เสียงตึงงงดังสนั่น ดังมาจากประตูอีกครั้งหนึ่ง
เสียงนั้นดังกว่า มีพลังมากกว่าเสียงตีจากกระบองของออร์ค มันเป็นเสียงของอาวุธขนาดใหญ่ – เหมือนกับท่อนซุงพังประตู
“ยิงง !”
ยูเจมออกคำสั่ง เหล่าชาวบ้านยิงธนูออกไปตามที่ได้ฝึกกันมา
เสียงร้องจากความเจ็บปวดดังออกมาจากอีกฟากของกำแพง แต่ว่า ท่องซุงนั้นยังไม่หยุด
พวกนั้นต้องใช้ท่องซุงมากกว่าหนึ่งอันเพื่อโจมตีเป็นระลอกแน่
“ยิงง !”
อีกครั้งหนึ่ง ธนูถูกยิงสูงขึ้นไปตามคำสั่งของยูเจม แต่ว่าในครั้งนี้ มันได้รับการตอบสนองด้วยธนูจากอีกฝั่ง ลูกธนูที่มากกว่าที่ยิงไปหลายเท่า ตกลงมาในหมู่บ้านดั่งสายฝน
แต่ยังไม่มีธนูดอกใดโจมตีโดนฝ่ายป้องกัน
การโจมตีของศัตรูเป็นการยิงในระยะไกล เพราะฉะนั้นการโจมตีนี้จึงพลาดหมด ไม่สร้างความเสียหายให้กับกำแพงหรือสิ่งก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ยิ่งนักธนูมีมากเท่าไหร่ โอกาสยิงโดนยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าโอกาสยิงโดนของอีกฝ่ายไม่ใช่ศูนย์ สถานการณ์ก็ยังแย่อยู่ดี
“ถอยกลับ ! ถอยกลับ ! เราจะเคลื่อนย้ายตำแหน่ง !”
เหล่าชาวบ้านทำตามที่ยูเจมสั่ง พวกเขาได้ยินคำสั่งนั้นถึงแม่ว่ายูเจมจะลดเสียงของเขาลง พวกเขารีบเคลื่อนย้ายตำแหน่งอย่างตื่นตระหนก
ถึงวันนี้ ชาวบ้านได้ฝึกการยิงธนูจากตำแหน่งที่ถูกกำหนดไว้เท่านั้น โดยให้พวกเขาเล็งยิงไปที่พื้นที่ที่เป็นเป้าหมายด้านนอกของประตู ดังนั้น เมื่อพวกเขาสามารถทำได้ ความแม่นยำในการยิงก็จะเพิ่มยิง แต่ในทางกลับกัน เมื่อพวกเขาต้องย้ายมายังตำแหน่งที่ไม่คุ้นเคย ธนูของพวกเขาก็ไม่ถูกเป้าที่เล็งไว้อีกต่อไป
การสู้กันในระยะไกลตอนนี้เป็นเรื่องยากแล้ว
“เตรียมหอกขึ้นมา ! เราจะเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ในระยะประชิด
เสียง แกร๊งง ดังออกมาจากอีกฟากของกำแพง เสียงเหมือนโลหะอะไรบางปะทะเข้ากับกำแพง ต่างจากเสียงตึงของท่องซุงโดยสิ้นเชิง เสียงนั้นที่เหมือนกับเสียงของขวานดังขึ้นมาทุกทิศทาง
จำนวนนั้นคือข้อได้เปรียบมหาศาล พวกเขาสามารถใช้การโจมตีประตูหรือกำแพงเป็นกลลวงเพื่อโจมตีมาจากทิศทางที่ คาดไม่ถึงได้ ถ้ายูเจมเป็นผู้บัญชาการของอีกฝั่ง เขาจะทำแบบนั้น
เป็นไปตามแผน…ดูเหมือนว่าสถานการณ์กำลังไปได้สวย ศัตรูกำลังกระจายกำลังออก
กลยุทธการจู่โจมส่วนใหญ่ไร้ความหมายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่มี จำนวนเหนือกว่ามาก สำหรับหมู่บ้านคาร์นแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือการพยายามค่อยๆลดพละกำลังฝ่ายตรงข้ามลง
ในตอนที่รูปขบวนทัพของอีกฝั่งอ่อนแอลง พวกเขาสามารถโจมตีจากในหมู่บ้านได้ทุกเมื่อ ตามอุดมคติแล้ว พวกเขาจะโจมตีผู้บัญชาการฝ่ายตรงข้ามด้วยรูปขบวนแบบลิ่ม ด้วยวิธีนี้ พวกทหารที่ตื่นตระหนกก็จะรีบมารวมตัวกันทันที
การที่ให้พวกออร์คโจมตีแค่ส่วนเดียวแล้วถอยกลับ ก็เป็นหนึ่งในการเตรียมการเพื่อการนี้ ในตอนนั้นถ้าพวกออร์คยังคงไล่โจมตีต่อไป มันคงยากที่จะทำให้ฝั่งศัตรูตื่นตระหนก และยากที่จะทำตามวัตถุประสงค์ที่จะดึงพวกทหารจากประตูหลังมายังด้านหน้า
จากนั้น ถ้าพวกศัตรูที่กระจายตัวออกมุ่งหน้ามาเมื่อล้อมพวกเรา เราก็ไม่มีทางที่จะถอยกลับได้อีก… อืม นี่สินะที่เค้าเรียกว่า การเข้าไปที่รังของมังกรทั้งๆที่รู้ว่ามังกรอยู่ในนั้น… (entering the dragon’s lair despite knowing he’s home)
ในอีกแง่หนึ่ง นี่เป็นกลยุทธฆ่าตัวตาย
ถึงอย่างนั้น----
“ดีล่ะ เราทำสำเร็จตามเป้าหมายไปครึ่งนึงแล้ว”
ยูเจมพึมพำกับตัวเอง สายตาของเขาเลื่อนไปทางประตูหลังที่เขามองไม่เห็น
แรงระเบิดของมันเทียบได้กับการเผาไหม้ของเวทย์”ไฟบอล” ก่อให้เกิดเปลวไฟสีแดงฉานและเขม่าควันสีดำที่ไร้ที่สิ้นสุด
ยูเจมรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจที่แผ่ออกมาจากสมาชิกของกองกำลังป้องกัน หัวหน้าก๊อบลินชูดาบเวทย์มนของเขาขึ้น และคำรามก้อง
“ใจเย็นไว้ ! ไฟแค่นี้ทำให้กำแพงแตกไม่ได้หรอก ! เหมือนกับการป้องกันของประตู---”
เสียงกระแทกอย่างรุนแรง ตึงงง ดังมาจากอีกด้านของประตู
กำแพงนั้นทั้งหนาและใหญ่กว่าหอสังเกตการณ์ที่ตอนนี้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ถึงมันจะโดนยิงด้วยธนูไฟ มันก็ไม่ได้ติดไฟง่ายนัก ดังนั้นพวกเขาจึงสรุปว่านี่เป็นการดึงความสนใจไปจากเป้าหมายที่แท้จริง มากกว่า นั่นก็คือการทำลายประตู เหมือนว่านี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้อง เสียงตึงงงดังสนั่น ดังมาจากประตูอีกครั้งหนึ่ง
เสียงนั้นดังกว่า มีพลังมากกว่าเสียงตีจากกระบองของออร์ค มันเป็นเสียงของอาวุธขนาดใหญ่ – เหมือนกับท่อนซุงพังประตู
“ยิงง !”
ยูเจมออกคำสั่ง เหล่าชาวบ้านยิงธนูออกไปตามที่ได้ฝึกกันมา
เสียงร้องจากความเจ็บปวดดังออกมาจากอีกฟากของกำแพง แต่ว่า ท่องซุงนั้นยังไม่หยุด
พวกนั้นต้องใช้ท่องซุงมากกว่าหนึ่งอันเพื่อโจมตีเป็นระลอกแน่
“ยิงง !”
อีกครั้งหนึ่ง ธนูถูกยิงสูงขึ้นไปตามคำสั่งของยูเจม แต่ว่าในครั้งนี้ มันได้รับการตอบสนองด้วยธนูจากอีกฝั่ง ลูกธนูที่มากกว่าที่ยิงไปหลายเท่า ตกลงมาในหมู่บ้านดั่งสายฝน
แต่ยังไม่มีธนูดอกใดโจมตีโดนฝ่ายป้องกัน
การโจมตีของศัตรูเป็นการยิงในระยะไกล เพราะฉะนั้นการโจมตีนี้จึงพลาดหมด ไม่สร้างความเสียหายให้กับกำแพงหรือสิ่งก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ยิ่งนักธนูมีมากเท่าไหร่ โอกาสยิงโดนยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าโอกาสยิงโดนของอีกฝ่ายไม่ใช่ศูนย์ สถานการณ์ก็ยังแย่อยู่ดี
“ถอยกลับ ! ถอยกลับ ! เราจะเคลื่อนย้ายตำแหน่ง !”
เหล่าชาวบ้านทำตามที่ยูเจมสั่ง พวกเขาได้ยินคำสั่งนั้นถึงแม่ว่ายูเจมจะลดเสียงของเขาลง พวกเขารีบเคลื่อนย้ายตำแหน่งอย่างตื่นตระหนก
ถึงวันนี้ ชาวบ้านได้ฝึกการยิงธนูจากตำแหน่งที่ถูกกำหนดไว้เท่านั้น โดยให้พวกเขาเล็งยิงไปที่พื้นที่ที่เป็นเป้าหมายด้านนอกของประตู ดังนั้น เมื่อพวกเขาสามารถทำได้ ความแม่นยำในการยิงก็จะเพิ่มยิง แต่ในทางกลับกัน เมื่อพวกเขาต้องย้ายมายังตำแหน่งที่ไม่คุ้นเคย ธนูของพวกเขาก็ไม่ถูกเป้าที่เล็งไว้อีกต่อไป
การสู้กันในระยะไกลตอนนี้เป็นเรื่องยากแล้ว
“เตรียมหอกขึ้นมา ! เราจะเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ในระยะประชิด
เสียง แกร๊งง ดังออกมาจากอีกฟากของกำแพง เสียงเหมือนโลหะอะไรบางปะทะเข้ากับกำแพง ต่างจากเสียงตึงของท่องซุงโดยสิ้นเชิง เสียงนั้นที่เหมือนกับเสียงของขวานดังขึ้นมาทุกทิศทาง
จำนวนนั้นคือข้อได้เปรียบมหาศาล พวกเขาสามารถใช้การโจมตีประตูหรือกำแพงเป็นกลลวงเพื่อโจมตีมาจากทิศทางที่ คาดไม่ถึงได้ ถ้ายูเจมเป็นผู้บัญชาการของอีกฝั่ง เขาจะทำแบบนั้น
เป็นไปตามแผน…ดูเหมือนว่าสถานการณ์กำลังไปได้สวย ศัตรูกำลังกระจายกำลังออก
กลยุทธการจู่โจมส่วนใหญ่ไร้ความหมายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่มี จำนวนเหนือกว่ามาก สำหรับหมู่บ้านคาร์นแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือการพยายามค่อยๆลดพละกำลังฝ่ายตรงข้ามลง
ในตอนที่รูปขบวนทัพของอีกฝั่งอ่อนแอลง พวกเขาสามารถโจมตีจากในหมู่บ้านได้ทุกเมื่อ ตามอุดมคติแล้ว พวกเขาจะโจมตีผู้บัญชาการฝ่ายตรงข้ามด้วยรูปขบวนแบบลิ่ม ด้วยวิธีนี้ พวกทหารที่ตื่นตระหนกก็จะรีบมารวมตัวกันทันที
การที่ให้พวกออร์คโจมตีแค่ส่วนเดียวแล้วถอยกลับ ก็เป็นหนึ่งในการเตรียมการเพื่อการนี้ ในตอนนั้นถ้าพวกออร์คยังคงไล่โจมตีต่อไป มันคงยากที่จะทำให้ฝั่งศัตรูตื่นตระหนก และยากที่จะทำตามวัตถุประสงค์ที่จะดึงพวกทหารจากประตูหลังมายังด้านหน้า
จากนั้น ถ้าพวกศัตรูที่กระจายตัวออกมุ่งหน้ามาเมื่อล้อมพวกเรา เราก็ไม่มีทางที่จะถอยกลับได้อีก… อืม นี่สินะที่เค้าเรียกว่า การเข้าไปที่รังของมังกรทั้งๆที่รู้ว่ามังกรอยู่ในนั้น… (entering the dragon’s lair despite knowing he’s home)
ในอีกแง่หนึ่ง นี่เป็นกลยุทธฆ่าตัวตาย
ถึงอย่างนั้น----
“ดีล่ะ เราทำสำเร็จตามเป้าหมายไปครึ่งนึงแล้ว”
ยูเจมพึมพำกับตัวเอง สายตาของเขาเลื่อนไปทางประตูหลังที่เขามองไม่เห็น
Overlord vol.9 chap 3 part 2.4.4
เขาได้จัดเตรียมเส้นทางหลบหนีที่มีโอกาสรอดมากที่สุดให้แก่เจ้านายไว้แล้ว มันไม่มีอะไรให้กังวลอีก ถึงแม้มันจะดูโหดร้ายไปหน่อย แต่ถ้าชาวบ้านที่อยู่ตรงนี้ตายกันหมด ก็จะไม่มีใครรู้ว่ามีกี่คนที่หนีไปได้ และเอนริก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
การปกป้องเอนริเป็นเรื่องแรกและเรื่องสำคัญที่สุดของยูเจม เขายินดีที่จะสละทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้นโดยไม่เสียใจภายหลังแม้แต่น้อย เพราะอย่างนั้น---
“ทุกคน ! รอจังหวะที่ประตูพังลง ! เราจะเข้าโจมตีในตอนนั้น ! เป้าหมายเราศูนย์บัญชาการของศัตรู ! โอกาสเดียวที่เราจะรอดไปได้คือฆ่าผู้บัญชาการของศัตรูซะ !”
“โอ้อออ !”
เสียงร้องแห่งการตัดสินใจดังตอบเขากลับมา ถึงจะมีบางเสียงที่มีความลังเลเล็กน้อย แต่ทุกคนดูเหมือนจะไม่หันหลังกลับ
ที่เหลืออยู่ตรงนี้มีแต่ชายผู้กล้าหาญ ที่ต่อสู้เพื่อลูกๆของเขาและคนที่เขารัก
♦ ♦ ♦
เอนริและนฟีเรียวิ่งลงมาจากป้อมสังเกตการณ์ด้านหลัง รวบรวมพวกเด็กๆและผู้หญิงมาที่บริเวณด้านหน้าประตูหลัง ยายของนฟีเรีย ลิซซี่ ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เพราะว่าเธอกำลังซ่อนอุปกรณ์ปรุงยาที่ขอยืมมาจากไอน์อยู่
เธอคงไม่มีเวลาพอที่จะหนี แต่เธอก็ยอมรับชะตากรรมนั้นแล้ว
“ไม่มีปัญหา ! ไม่มีใครอยู่รอบๆนี่ ! เราจะเปิดประตูเดี๋ยวนี้แล้วมุ่งหน้าไปที่ป่ากัน”
เหล่าเด็กๆที่หน้าซีดด้วยความกลัว พยักหน้าอย่างสิ้นหวัง
ในขณะนั้น นฟีเรียและบริต้าจับที่จับและเปิดประตูด้านหนึ่งอย่างช้าๆ
ในตอนที่ประตูเปิด เอนริโผล่หน้าออกไปมองรอบๆ ไม่มีอะไรอยู่แถวๆนี้ เหมือนกับที่เธอเห็นจากป้อมสังเกตการณ์ ไม่มีทหารให้เห็นในบริเวณนี้ แผนของยูเจมสำเร็จแล้ว
“ถ้างั้น ไปกันเถอะ !”
คนที่ออกไปคนแรกคืออากูและเหล่าคนในเผ่า ถ้ามีการปะทะกันเกิดขึ้นในป่า พวกเขาจะสร้างทางเดินด้วยเลือดของศัตรู ต่อมาคือบริต้า เธออยู่ในกลุ่มค้นหา ถ้าอากูไม่เห็นพวกทหาร เธอจะเป็นคนจัดการ
เมื่อคิดถึงขาของเหล่าเด็กๆที่สั้น กลุ่มเบิกทางจะเดินนำหน้าเข้าสู่ป่าโดยมีเด็กเดินตามข้างหลังหลังเป็นกลุ่ม นำ 2 คนต่อเด็ก 2 คน เหล่าแม่จะเข้ามาช่วยเด็กในกรณีที่ต้องวิ่ง เหล่าเด็กๆที่ไม่มีพ่อแม่มาด้วยจะถูกดูแลโดยเด็กที่โตกว่า
ส่วนคนสุดท้ายที่ออกไปก็คือเอนริและนฟีเรียที่กำลังวิ่งตามกลุ่มด้านหน้าอยู่
ถึงแม้ว่าจะออกจากประตูมาได้ แต่ป่าก็ยังอยู่ห่างออกไป เมื่อคิดถึงความตายของฤดูหนาวแล้ว ระยะทางก็ดูเหมือนจะยิ่งไกลออกไปอีกหลายเท่า
พวกเขารีบวิ่งอย่างกระวนกระวาย
ช่างไกลเหลือเกิน
ยังเร็วไม่พอ
ในตอนนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงม้ามาจากข้างหลัง
เอนริกระตุกอย่างแรง มากเสียจนเธอหยุดลงด้วยอาการนั้น แต่กระนั้นหัวใจของเธอกลับเต้นรัว ลมหายใจของเธอปั่นป่วน ความกลัวทำให้เธอต้องหันกลับไปมองข้างหลัง แล้วเธอก็เหลือบมองเห็นอะไรบางอย่างที่เธอไม่คาดฝันอยู่ที่นั่น --- ความสิ้นหวัง
“ไม่มีทางน่า…”
ทหารม้ามากกว่าร้อยคนปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง พวกเขาต้องซ่อนอยู่ในมุมอับของป้อมสังเกตการณ์โดยยืนชิดกับกำแพงแน่ พวกเขาปรากฏออกมาเพราะแน่ใจว่าจะไม่มีใครอื่นออกมาจากหมู่บ้านอีกแล้ว
มันเป็นระยะทางไกลระหว่างหมู่บ้านไปถึงป่า อย่างไรก็ตาม มันมีความต่างกันอย่างมากระหว่างความเร็วของม้าและมนุษย์
บางทีอากูและบริต้าคงจะหนีไปได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเด็กๆ พวกเขาจะต้องถูกจับกุมแน่
อัศวินถือวัตถุที่สะท้อนแสงอยู่ในมือ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาตั้งใจจะไล่ฟันจากด้านหลังแน่ ถึงแม้ว่าเนมุจะวิ่งอยู่ในแถวหน้าแต่ก็น่าสงสัยอยู่ดีว่าเธอจะหนีพ้นได้รึ เปล่า
“เอนริ วิ่งต่อไป !”
นฟีเรียหยุดยืนอย่างกะทันหัน
“เอนฟี !”
“ผมจะถ่วงเวลาให้ !”
“เธอบ้ารึเปล่า ? อย่างคิดว่าครั้งนี้จะเหมือนครั้งที่แล้วที่คุณลูปุสเรจิน่าช่วยเธอไว้นะ !”
“วิ่งไปเถอะน่า !”
นฟีเรียตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดไปที่เอนริ ที่ตอนนี้หยุดยืนอยู่เหมือนกัน
“ถ้าเธออยากจะถ่วงเวลาล่ะก็ ชั้นมีวิธีที่ดีกว่า !”
เอนริเอาแตรเก่าออกมาจากกระเป๋าของเธอ
มันสามารถอัญเชิญก๊อบลินมาได้เพียง 19 ตัว ถึงแม้ว่ามันจะไม่มาก แต่ว่าแต่ละตัวนั้นค่อนข้างแกร่งทีเดียว มันน่าจะพอสำหรับถ่วงเวลาแล้ว
“ยัยโง่เอ๊ย ! พวกนั้นมีมากขนาดนั้นเลยนะ ! เธอเรียกมาได้ไม่ถึง 20 คนด้วยซ้ำ !”
เอนริไม่สามารถโต้เถียงเหตุผลของนฟีเรียกลับไปได้ พวกนั้นต้องชนะอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่เป่าแต่ตอนนี้จะโง่ยิ่งกว่า
“มันก็เหมือนกับเธอไม่ใช่รึไง ?!”
เอนริไม่มีเวลาที่จะเสียไปกับการพูดคุยอีกแล้ว เธอจ่อแตรเข้าที่ปากของเธอ
---คุณก๊อบลิน ! ได้โปรดช่วยชั้นด้วย !
เสียงที่ออกมาคือเสียงปี่ที่ทำให้แผ่นดินสะเทือน (eng เขียนว่า basso profundo note หาคำแปลไม่เจอ ไม่รู้ว่าเป็นเสียงแบบไหน)
เอนริกะพริบตาปริบๆมองสิ่งที่เธอทำลงไป เมื่อก่อนตอนที่เธออัญเชิญยูเจมและคนอื่นๆ มันมีแค่เสียง ฟุด เบาๆ ที่เธอควรจะได้น่าจะเป็นเสียงที่ของเล่นเด็กโกโรโกโสทำได้เท่านั้น
“เอน…เอนริ…”
สายตาที่ตื่นตระหนกของนฟีเรียจ้องมองไปยังอะไรบางอย่างด้านหลังของเธอ ดวงตาของเอนริค่อยๆมองตามสายตาของนฟีเรียไปยังด้านหลังของเธอ
เหล่าทหารม้าใกล้ที่จะตามพวกเขาทันแล้ว และไม่มีอะไรที่จะหยุดพวกเขาได้ แต่ว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขารั้งบังเหียนและหยุดม้าของพวกเขาไว้ เพราะว่าการหยุดอย่างกะทันหันทำให้บางคนตกลงจากม้าเลยทีเดียว
เอนริมองไปยังด้านหลังของเธอ และ----
“----เอ่อ ? เหออออออ ?!”
Overlord vol.9 chap 3 part 2.4.5
ยูเจมเหวี่ยงดาบเวทย์มนสองมือของเขาที่ได้มาจากยักษ์แห่งตะวันออก การโจมตีสุดกำลังของเขาถูกป้องกันได้โดยคู่ต่อสู้ อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายนั้นไม่สามารถป้องกันแรงที่มาจากการฟันลงมาได้ทั้งหมด ซึ่งนั่นทำให้เขาเสียสมดุลไป ปกติแล้วยูเจมจะตามเข้าไปซ้ำ แต่ทหารคนอื่นๆเข้ามาขวางไม่ให้เขาทำอย่างนั้นได้
พวกเขาขนาบยูเจมจากทั้งสองฝั่งเพื่อคุ้มกันทหารที่เปิดช่องว่างจากการถูกโจมตี
ยูเจมเดาะลิ้น เหวี่ยงดาบไปมาในอากาศประดุจหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่เพิ่มขึ้นมา ป้องกันการโจมตีขากดาบสองเล่มที่เล็งมาที่เขาได้อย่างสวยงาม
“…เจ้าก๊อบลินนี่มันเก่งแฮะ มันสามารถรับมือเราสามคนพร้อมกันได้ด้วย”
“นี่มันเหลือเชื่อชะมัด ข้าไม่เห็นรู้เลยว่าก๊อบลินจะแกร่งได้ขนาดนี้”
ยูเจมสัมผัสได้ว่าคู่ต่อสู้ของเขายังไม่ได้สู้สุดกำลัง นั่นทำให้เขากังวล
ถ้าเขาสู้กับทหารเหล่านี้แบบตัวต่อตัว เขาจะชนะแน่นอน ถ้าเขาต้องสู้แบบสองต่อหนึ่ง บางทีมันอาจต้องพึ่งโชคช่วย แต่ถ้าต้องสู้แบบสามต่อหนึ่งเขาคงจะแพ้แน่ และตอนนี้---
มีทหารอีกคนล้อมเขาอยู่ด้านหลัง ยูเจมก้าวถอยหลังเล็กน้อย
---เมื่อเจอรุมสี่ต่อหนึ่ง อย่างเดียวที่รอเขาอยู่คือความตาย
คู่ต่อสู้สองสามคนแรกของเขาเป็นทหารที่อ่อนแอ ซึ่งเขาสามารถฝ่ามาได้อย่างง่ายดาย
เหล่านักรบผู้กล้าหาญของหมู่บ้านคาร์นรุกคืบอย่างไม่อาจหยุดยั้งในแนวรบของทหารราชอาณาจักรด้วยรูปขบวนแบบลิ่ม
แต่หลังจากนั้น เหล่าคู่ต่อสู้ที่ฝีมือแข็งแกร่งก็เริ่มปรากฏตัวออกมาเมื่อพวกเขารุกคืบเข้า สู่อีกพื้นที่หนึ่ง อุปกรณ์สวมใส่ของทหารเหล่านั้นสูงกว่าระดับทั่วไป พวกนี้ต้องเป็นทหารชั้นแนวหน้าของกองทัพนี้แน่
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ไม่ไกลจากค่ายของศัตรู และพวกเขาก็ยังสูญเสียไม่มาก
อย่างไรก็ตาม มันยังยากอยู่ดี
เขาเบนความสนใจจากศัตรูสี่คนตรงหน้าลอบสังเกตสถานการณ์โดยรอบ ก๊อบลินใต้บังคับบัญชาของเขาค่อยๆเสียเปรียบจากจำนวนที่มากกว่ามหาศาล
เขาแข็งแรงกว่าและอึดกว่าศัตรูของเขา … แต่ว่าในอีกด้านหนึ่ง นั่นมันเป็นข้อได้เปรียบแค่สองข้อที่เขามี --- เหมือนกับพวกออร์ค ที่พวกมันทำได้เพียงมองอีกฝ่ายถอยหนีหลังจากโดนโจมตีไปครั้งหนึ่ง
ในตอนนี้เริ่มมีผู้สละชีพเพื่อหมู่บ้านคาร์นบ้างแล้ว ถึงแม้ว่ากลุ่มก๊อบลินจะนำหน้าและรับการโจมตีในส่วนหน้าของรูปขบวนลิ่ม จำนวนของศัตรูก็ยังมากกว่ามาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหลีกการโจมตีพวกนั้นทั้งหมด เป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว บางคนสามารถที่จะฝ่าต่อไปได้ แต่บางคนก็จบลงที่การลงไปนอนอยู่ที่พื้น
มันเป็นแผนการที่บ้าระห่ำ ซึ่งผลลัพธ์นี้ก็คาดการณ์ได้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยูเจมอยากจะเชื่อว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น
และในตอนนั้นเอง
ดาบได้โจมตีถูกร่างของเขา ก่อให้เกิดบาดแผลขึ้นมา
“ชิ !”
ยูเจมเหวี่ยงดาบสองมือของเขา พยายามเปิดช่องว่าง
“พวกแก นี่พวกแกเป็นใครกันแน่ ? พนันได้เลยว่าไม่ใช่ชาวนาธรรดาๆแน่ๆ”
ยูเจมนั้นเลเวล 12 คู่ต่อสู้ของเขาตอนนี้น่าจะราวๆเลเวล 10 หรือ 11 ส่วนอีกสามคนน่าจะเลเวล 9
พวกชาวบ้านธรรมดานั้นมีเลเวล 1 บางคนที่ได้รับการฝึกอาจจะสามารถไปถึงเลเวล 2 ทหารที่เดินทางมากับผู้เก็บภาษีน่าจะเลเวลไม่เกิน 3 นั่นแปลว่าเหล่าทหารที่กำลังทำการสู้กันอยู่ตอนนี้แข็งแกร่งมาก
อีกด้านหนึ่ง มันยากที่จะตัดสินความแข็งแกร่งของเอนริและนฟีเรียอย่างแม่นยำ เพราะว่าพวกเขาไม่ใช่นักสู้ แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งในแนวทางของพวกเขา
“เจ้าก๊อบลินนี่…ไม่สิ หรือว่านี่มันฮอบก๊อบลิน ? หรือปกติมันก็แข็งแกร่งแบบนี้อยู่แล้ว ?”
“แต่เขาว่ากันว่าฮอบก๊อบลินจะตัวใหญ่กว่านี้… หรือว่ามันเป็นราชาก๊อบลิน ? บางทีมันคงจะควบคุมหมู่บ้านด้วยกำลัง… แต่ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมชาวบ้านถึงสู้ถวายชีวิตแบบนั้น ?”
“ฮ่า ! มนุษย์นี่มีแต่พวกโง่ๆนะ เพราะว่าพวกเรามีตัวประกันไงล่ะ ! เข้าใจรึยัง ?”
“มันต้องโกหกแน่ พวกนั้นไม่สู้ด้วยเหตุผลบ้าๆแบบนั้นหรอก มันจะดีกว่ามั้ยถ้าพวกนั้นจะแทงแกจากข้างหลังน่ะ ข้าสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างเหมือนสายสัมพันธ์ที่ข้ามกำแพงระหว่างเผ่าพันธุ์ ทำไม ? ทำไมก๊อบลินกับมนุษย์ถึงร่วมสู้เคียงข้างกันได้ล่ะ ?”
“ข้าก็บอกแกไปแล้วไง ไอ้โง่ !”
“งั้นหรือ ข้าเดาว่าพวกแกคงเป็นพวกเดียวกัน ถ้าไม่อย่างนั้น ---”
“อ่า- หุบปากไปซะ ! ไอ้พวกสอดรู้อย่างแกทำให้ข้าหงุดหงิด !”
ยูเจมเหวี่ยงดาบสองมือของเขาอีกครั้ง
แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนก่อนหน้านี้
เขาสามารถโจมตีได้ แต่ไม่หมดจด ทหารเสียสมดุลไป เขาต้องการจะตามไปซ้ำ แต่ก็ถูกขัดขวางโดยการโจมตีที่รุนแรงที่เข้ามาจากทั้งสองฝั่ง
พวกเขาขนาบยูเจมจากทั้งสองฝั่งเพื่อคุ้มกันทหารที่เปิดช่องว่างจากการถูกโจมตี
ยูเจมเดาะลิ้น เหวี่ยงดาบไปมาในอากาศประดุจหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่เพิ่มขึ้นมา ป้องกันการโจมตีขากดาบสองเล่มที่เล็งมาที่เขาได้อย่างสวยงาม
“…เจ้าก๊อบลินนี่มันเก่งแฮะ มันสามารถรับมือเราสามคนพร้อมกันได้ด้วย”
“นี่มันเหลือเชื่อชะมัด ข้าไม่เห็นรู้เลยว่าก๊อบลินจะแกร่งได้ขนาดนี้”
ยูเจมสัมผัสได้ว่าคู่ต่อสู้ของเขายังไม่ได้สู้สุดกำลัง นั่นทำให้เขากังวล
ถ้าเขาสู้กับทหารเหล่านี้แบบตัวต่อตัว เขาจะชนะแน่นอน ถ้าเขาต้องสู้แบบสองต่อหนึ่ง บางทีมันอาจต้องพึ่งโชคช่วย แต่ถ้าต้องสู้แบบสามต่อหนึ่งเขาคงจะแพ้แน่ และตอนนี้---
มีทหารอีกคนล้อมเขาอยู่ด้านหลัง ยูเจมก้าวถอยหลังเล็กน้อย
---เมื่อเจอรุมสี่ต่อหนึ่ง อย่างเดียวที่รอเขาอยู่คือความตาย
คู่ต่อสู้สองสามคนแรกของเขาเป็นทหารที่อ่อนแอ ซึ่งเขาสามารถฝ่ามาได้อย่างง่ายดาย
เหล่านักรบผู้กล้าหาญของหมู่บ้านคาร์นรุกคืบอย่างไม่อาจหยุดยั้งในแนวรบของทหารราชอาณาจักรด้วยรูปขบวนแบบลิ่ม
แต่หลังจากนั้น เหล่าคู่ต่อสู้ที่ฝีมือแข็งแกร่งก็เริ่มปรากฏตัวออกมาเมื่อพวกเขารุกคืบเข้า สู่อีกพื้นที่หนึ่ง อุปกรณ์สวมใส่ของทหารเหล่านั้นสูงกว่าระดับทั่วไป พวกนี้ต้องเป็นทหารชั้นแนวหน้าของกองทัพนี้แน่
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ไม่ไกลจากค่ายของศัตรู และพวกเขาก็ยังสูญเสียไม่มาก
อย่างไรก็ตาม มันยังยากอยู่ดี
เขาเบนความสนใจจากศัตรูสี่คนตรงหน้าลอบสังเกตสถานการณ์โดยรอบ ก๊อบลินใต้บังคับบัญชาของเขาค่อยๆเสียเปรียบจากจำนวนที่มากกว่ามหาศาล
เขาแข็งแรงกว่าและอึดกว่าศัตรูของเขา … แต่ว่าในอีกด้านหนึ่ง นั่นมันเป็นข้อได้เปรียบแค่สองข้อที่เขามี --- เหมือนกับพวกออร์ค ที่พวกมันทำได้เพียงมองอีกฝ่ายถอยหนีหลังจากโดนโจมตีไปครั้งหนึ่ง
ในตอนนี้เริ่มมีผู้สละชีพเพื่อหมู่บ้านคาร์นบ้างแล้ว ถึงแม้ว่ากลุ่มก๊อบลินจะนำหน้าและรับการโจมตีในส่วนหน้าของรูปขบวนลิ่ม จำนวนของศัตรูก็ยังมากกว่ามาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหลีกการโจมตีพวกนั้นทั้งหมด เป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว บางคนสามารถที่จะฝ่าต่อไปได้ แต่บางคนก็จบลงที่การลงไปนอนอยู่ที่พื้น
มันเป็นแผนการที่บ้าระห่ำ ซึ่งผลลัพธ์นี้ก็คาดการณ์ได้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยูเจมอยากจะเชื่อว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น
และในตอนนั้นเอง
ดาบได้โจมตีถูกร่างของเขา ก่อให้เกิดบาดแผลขึ้นมา
“ชิ !”
ยูเจมเหวี่ยงดาบสองมือของเขา พยายามเปิดช่องว่าง
“พวกแก นี่พวกแกเป็นใครกันแน่ ? พนันได้เลยว่าไม่ใช่ชาวนาธรรดาๆแน่ๆ”
ยูเจมนั้นเลเวล 12 คู่ต่อสู้ของเขาตอนนี้น่าจะราวๆเลเวล 10 หรือ 11 ส่วนอีกสามคนน่าจะเลเวล 9
พวกชาวบ้านธรรมดานั้นมีเลเวล 1 บางคนที่ได้รับการฝึกอาจจะสามารถไปถึงเลเวล 2 ทหารที่เดินทางมากับผู้เก็บภาษีน่าจะเลเวลไม่เกิน 3 นั่นแปลว่าเหล่าทหารที่กำลังทำการสู้กันอยู่ตอนนี้แข็งแกร่งมาก
อีกด้านหนึ่ง มันยากที่จะตัดสินความแข็งแกร่งของเอนริและนฟีเรียอย่างแม่นยำ เพราะว่าพวกเขาไม่ใช่นักสู้ แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งในแนวทางของพวกเขา
“เจ้าก๊อบลินนี่…ไม่สิ หรือว่านี่มันฮอบก๊อบลิน ? หรือปกติมันก็แข็งแกร่งแบบนี้อยู่แล้ว ?”
“แต่เขาว่ากันว่าฮอบก๊อบลินจะตัวใหญ่กว่านี้… หรือว่ามันเป็นราชาก๊อบลิน ? บางทีมันคงจะควบคุมหมู่บ้านด้วยกำลัง… แต่ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมชาวบ้านถึงสู้ถวายชีวิตแบบนั้น ?”
“ฮ่า ! มนุษย์นี่มีแต่พวกโง่ๆนะ เพราะว่าพวกเรามีตัวประกันไงล่ะ ! เข้าใจรึยัง ?”
“มันต้องโกหกแน่ พวกนั้นไม่สู้ด้วยเหตุผลบ้าๆแบบนั้นหรอก มันจะดีกว่ามั้ยถ้าพวกนั้นจะแทงแกจากข้างหลังน่ะ ข้าสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างเหมือนสายสัมพันธ์ที่ข้ามกำแพงระหว่างเผ่าพันธุ์ ทำไม ? ทำไมก๊อบลินกับมนุษย์ถึงร่วมสู้เคียงข้างกันได้ล่ะ ?”
“ข้าก็บอกแกไปแล้วไง ไอ้โง่ !”
“งั้นหรือ ข้าเดาว่าพวกแกคงเป็นพวกเดียวกัน ถ้าไม่อย่างนั้น ---”
“อ่า- หุบปากไปซะ ! ไอ้พวกสอดรู้อย่างแกทำให้ข้าหงุดหงิด !”
ยูเจมเหวี่ยงดาบสองมือของเขาอีกครั้ง
แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนก่อนหน้านี้
เขาสามารถโจมตีได้ แต่ไม่หมดจด ทหารเสียสมดุลไป เขาต้องการจะตามไปซ้ำ แต่ก็ถูกขัดขวางโดยการโจมตีที่รุนแรงที่เข้ามาจากทั้งสองฝั่ง
Overlord vol.9 chap 3 part 2.4.6
ถึงจะรู้แบบนั้น
ยูเจมตัดสินใจละทิ้งการหลบการโจมตีนั่นการฟาดฟันเล็งมาที่ส่วนที่ไม่ได้ใส่เกราะบนร่างกายของเขา ก่อให้เกิดแผลถูกฟัน
มากกว่าความเจ็บปวด ยูเจมรู้สึกได้ถึงความร้อนออกมาจากสองจุดบนร่างกายเขา
ยูเจมกัดฟันและใช้งานทักษะพิเศษของเขา ดาบของเขาเปลี่ยนทิศ โจมตีไปที่ทหารที่ฟันเขาจากด้านข้างเมื่อครู่
“「Goblin Blow」!”
การโจมตีที่รุนแรงตัดผ่านจุดอ่อนของเชนเมล (chainmail)ของทหารคนนั้น ก่อให้เกิดแผลสาหัสกับเนื้อที่อยู่ข้างใต้ ในตอนนั้นเอง ทหารคนนั้นก็เริ่มเกิดอาการกระตุก
นี่คือพลังของดาบสองมือเล่มนี้–พิษ อย่างไรก็ตาม มันยังสามารถต้านทานได้ และไม่ถึงกับทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถสู้ต่อไปได้
เพราะว่าเขาเสียสมาธิ ยูเจมจึงไม่อาจหลบการโจมตีที่มาจากด้านหลังเขาได้
ถึงแม้ว่าเกราะของเขาจะทำให้ไม่เกิดแผลสาหัส แต่ร่างกายของเขาก็ยังสะเทือนด้วยแรงโจมตีจากดาบ
“บ้าเอ๊ย !”
“นั่นมันพวกเรา ! เฮ้ย แกโดนโจมตีนี่ !”
“ให้เค้าถอยกลับไปก่อน
ล้อมมันเอาไว้ !”
ระหว่างการต่อสู้อย่างรุนแรง จำนวนของคู่ต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นจากสี่คนที่กำลังสู้อยู่ บางคนพยายามโจมตีที่ช่องว่างที่ยูเจมเปิดไว้และถูกฟันขาด ดูจากอุปกรณ์ระดับต่ำ พวกเขาคงเป็นชาวนาที่ถูกเกณฑ์มา
ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็มีจำนวนมาก การที่มีจำนวนมากกว่ากันมากนี่มันไม่ยุติธรรมจริงๆ
“ถอยไป ! เจ้าก๊อบลินนี่มันแข็งแกร่ง ! พวกเราจะจัดการมันเอง พวกแกไปจัดการกับชาวบ้านที่อยู่ข้างหลังซะ”
“คิดว่าข้าจะยอมงั้นเรอะ ?!”
ยูเจมขู่ทหารเกณฑ์เหล่านั้นและเหวี่ยงดาบของเขา การข่มขวัญของเขาทำให้พวกนั้นถอยกลับ
ความร้อนที่เขารู้สึกได้จากร่างกายค่อยๆเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด
ด้วยชีวิตที่ต้องเหวี่ยงดาบเพื่ออยู่รอด ยูเจมได้เรียนเคล็ดลับหลายอย่างในสนามรบ เรื่องแรกคือได้รู้วิธีการที่จะต่อสู้ทั้งที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อย่างอื่นๆคือ การที่จะบอกได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บขนาดไหน และเมื่อไหร่ที่ควรจะหนี สัญชาติญาณของเขาบอกว่าเขาควรที่จะสู้ต่อไป แต่นานแค่ไหนนั้น เขาไม่รู้เลย
นักรบผู้กล้าหาญของหมู่บ้านคาร์นจบกับจุดจบเพิ่มอีกคนหนึ่ง เลือดของเขาชโลมไปทั่วพื้นดิน
การพ่ายแพ้มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว วิสัยทัศน์ของเขาเริ่มถูกย้อมไปด้วยสีแดง
ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังต้องซื้อเวลาเพื่อให้เอนริและคนอื่นๆได้หนี จนกว่าจะลมหายใจสุดท้ายของเขา
---เป้าหมาย : ค่ายบัญชาการของศัตรู
---กองกำลัง : ตัวข้าเอง
ถึงแม้ว่าจะเห็นการตัดสินใจของยูเจม แต่ทหารตรงหน้าเขากลับแข็งทื่อ
ในตอนที่ยูเจมกำดาบในมือเขา และเตรียมจะพุ่งเข้าโจมตีนั้นเอง เสียงร้องกึกก้องดังไปทั่วสนามรบ ด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังคู่ต่อสู้เบื้องหน้า ยูเจมไม่อาจละสายตาไปมองได้
นั่นเป็นเพราะว่า จากด้านข้างของหมู่บ้านคาร์น-------ถึงจะรู้แบบนั้น ยูเจมตัดสินใจละทิ้งการหลบการโจมตีนั่น
การฟาดฟันเล็งมาที่ส่วนที่ไม่ได้ใส่เกราะบนร่างกายของเขา ก่อให้เกิดแผลถูกฟัน
มากกว่าความเจ็บปวด ยูเจมรู้สึกได้ถึงความร้อนออกมาจากสองจุดบนร่างกายเขา
ยูเจมกัดฟันและใช้งานทักษะพิเศษของเขา ดาบของเขาเปลี่ยนทิศ โจมตีไปที่ทหารที่ฟันเขาจากด้านข้างเมื่อครู่
“「Goblin Blow」!”
การโจมตีที่รุนแรงตัดผ่านจุดอ่อนของเชนเมล (chainmail)ของทหารคนนั้น ก่อให้เกิดแผลสาหัสกับเนื้อที่อยู่ข้างใต้ ในตอนนั้นเอง ทหารคนนั้นก็เริ่มเกิดอาการกระตุก
นี่คือพลังของดาบสองมือเล่มนี้–พิษ อย่างไรก็ตาม มันยังสามารถต้านทานได้ และไม่ถึงกับทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถสู้ต่อไปได้
เพราะว่าเขาเสียสมาธิ ยูเจมจึงไม่อาจหลบการโจมตีที่มาจากด้านหลังเขาได้
ถึงแม้ว่าเกราะของเขาจะทำให้ไม่เกิดแผลสาหัส แต่ร่างกายของเขาก็ยังสะเทือนด้วยแรงโจมตีจากดาบ
“บ้าเอ๊ย !”
“นั่นมันพวกเรา ! เฮ้ย แกโดนโจมตีนี่ !”
“ให้เค้าถอยกลับไปก่อน
ล้อมมันเอาไว้ !”
ระหว่างการต่อสู้อย่างรุนแรง จำนวนของคู่ต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นจากสี่คนที่กำลังสู้อยู่ บางคนพยายามโจมตีที่ช่องว่างที่ยูเจมเปิดไว้และถูกฟันขาด ดูจากอุปกรณ์ระดับต่ำ พวกเขาคงเป็นชาวนาที่ถูกเกณฑ์มา
ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็มีจำนวนมาก การที่มีจำนวนมากกว่ากันมากนี่มันไม่ยุติธรรมจริงๆ
“ถอยไป ! เจ้าก๊อบลินนี่มันแข็งแกร่ง ! พวกเราจะจัดการมันเอง พวกแกไปจัดการกับชาวบ้านที่อยู่ข้างหลังซะ”
“คิดว่าข้าจะยอมงั้นเรอะ ?!”
ยูเจมขู่ทหารเกณฑ์เหล่านั้นและเหวี่ยงดาบของเขา การข่มขวัญของเขาทำให้พวกนั้นถอยกลับ
ความร้อนที่เขารู้สึกได้จากร่างกายค่อยๆเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด
ด้วยชีวิตที่ต้องเหวี่ยงดาบเพื่ออยู่รอด ยูเจมได้เรียนเคล็ดลับหลายอย่างในสนามรบ เรื่องแรกคือได้รู้วิธีการที่จะต่อสู้ทั้งที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อย่างอื่นๆคือ การที่จะบอกได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บขนาดไหน และเมื่อไหร่ที่ควรจะหนี สัญชาติญาณของเขาบอกว่าเขาควรที่จะสู้ต่อไป แต่นานแค่ไหนนั้น เขาไม่รู้เลย
นักรบผู้กล้าหาญของหมู่บ้านคาร์นจบกับจุดจบเพิ่มอีกคนหนึ่ง เลือดของเขาชโลมไปทั่วพื้นดิน
การพ่ายแพ้มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว วิสัยทัศน์ของเขาเริ่มถูกย้อมไปด้วยสีแดง
ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังต้องซื้อเวลาเพื่อให้เอนริและคนอื่นๆได้หนี จนกว่าจะลมหายใจสุดท้ายของเขา
---เป้าหมาย : ค่ายบัญชาการของศัตรู
---กองกำลัง : ตัวข้าเอง
ถึงแม้ว่าจะเห็นการตัดสินใจของยูเจม แต่ทหารตรงหน้าเขากลับแข็งทื่อ
ในตอนที่ยูเจมกำดาบในมือเขา และเตรียมจะพุ่งเข้าโจมตีนั้นเอง เสียงร้องกึกก้องดังไปทั่วสนามรบ ด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังคู่ต่อสู้เบื้องหน้า ยูเจมไม่อาจละสายตาไปมองได้
นั่นเป็นเพราะว่า จากด้านข้างของหมู่บ้านคาร์น-------
- เหตุผลง่ายมาก อำนาจที่แท้จริงของเรือนจำและไม่ใช่แค่การเรียก 19 Goblin
ใน Yggdrasill รายการนี้ไม่สามารถเปิดเผยค่าที่แท้จริงได้และถูกทิ้งไปว่ามีข้อบกพร่อง แต่ในโลกใหม่นี้ก็มีโอกาสที่จะเปิดเผยอำนาจที่แท้จริงของพวกเขา
เรียกชื่อของรายการนี้อีกครั้ง [ฮอร์นแห่งกอบลินทั่วไป]
อำนาจที่แท้จริงของมันเปิดเผยเฉพาะเมื่อมันตรงตามเงื่อนไขที่สามคือ -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น