วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

Vol7 C2 P3



Overlord Volumn7 Chapter2 Part3

“โอ้ มีซากโบราณสถานอยู่ตรงนี้จริงๆด้วย น่าตกใจเหมือนกันนะ ฉันก็ไม่คิดว่าเขาโม้หรอกนะตอนที่เสนอรางวัลขนาดนั้น แต่มันก็เชื่อยากเหมือนกันว่าจะมีโบราณสถานให้สำรวจกลางทุ่งแบบนี้”
เพื่อนของเขาที่อยู่รอบๆเห็นด้วยกับคำพูดของเฮกเครัน
ซากโบราณสถานนั้นดูเหมือนจะเป็นสุสาน พื้นดินรอบๆดูเหมือนจะจมลงไปเล็กน้อย ในขณะที่พื้นที่ทั้งหมดเหมือนกับโดนกดลงไป มันดูให้ความรู้สึกเหมือนอ่าง เหตุผลที่มันยังไม่ถูกสำรวจมาจนถึงบัดนี้คงเป็นเพราะทุ่งหญ้าที่อยู่รอบๆ มันไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงสิ่งที่สืบทอดมาจากสมัยโบราณที่ดึงดูดสายตานักผจญ ภัย อีกอย่างคือ เนินเขาหลายๆลูกที่อยู่ใกล้ๆซ่อนที่อยู่ของซากโบราณสถานไว้ทำให้มันยากที่จะ ถูกพบ ถึงแม้ว่าจะมีส่วนหลังคายื่นออกมาแต่ก็จะมองไม่เห็นเลยถ้าไม่ได้มองจากจุด นี้ ดินรอบๆสุสานบางส่วนได้ร่วงลงมาเผยให้เห็นกำแพงบางส่วน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโบราณสถานนี้ถึงถูกพบ นั่นเป็นสิ่งที่ตัวแทนแต่ละทีมคิด
“น่าจะใช่ล่ะนะ ยังไงก็เถอะ ฉันเริ่มตื่นเต้นแล้วหล่ะ ความน่าจะเป็นที่จะเจออะไรดีๆระหว่างที่สำรวจที่นั่นมันสูงซะด้วย”
“ใครจะรู้ เอาหล่ะ สถานที่นี้ก็ไม่มีปัญหา อย่างน้อยก็ไม่มีสัตว์ประหลาดที่อันตรายหล่ะนะ แต่ถึงยังงั้น สิ่งที่ทำให้ฉันไม่สบายใจคือที่ๆบอกว่าเป็นตำแหน่งค่ายหลักต่างหาก”
สถาน ที่ตั้งค่ายที่ดีที่สุดคือพื้นที่ราบ บริเวณที่ตั้งค่ายนั้นติดกับเนินเขาและไม่สามารถมองเป็นได้จากระยะไกล ถ้าพวกเขาระวังการใช้แสง พวกเขาจะถูกเจอได้ยาก และนั่นทำให้มันดูน่ากลัว
“แต่ก็นะ คนจ้างเรารู้จักที่แบบนี้ได้ไงนะ”
ความ คิดที่เข้าเค้าที่สุดคือพื้นที่แถบนี้เหมาะที่สุดกับการตั้งแคมป์ และซากโบราณสถานก็ถึงเจอโดยผู้ว่าจ้างขณะตั้งแคมป์ แต่ถึงแบบนั้น มันก็นำไปสู่คำถามต่อไป ทำไมถึงมาตั้งแคมป์ในที่ห่างไกลแบบนี้?ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมขุนนางของจักรวรรดิถึงมาตั้งแคมป์ในพื้นที่ของอาณาจักรได้?
“-----ได้ยินว่ามีองค์กรใต้ดินขนาดใหญ่ในอาณาจักร คิดว่าชื่อ เอท ฟิงเกอร์(Eight Finger) พวกมันเป็นพวกที่มีปัญหาเลยหล่ะ”
“ดู เหมือนพวกนั้นได้ตกลงกับจักรวรรดิแบบลับๆ พวกนั้นมีอำนาจพอควรในอาณาจักร และมันจะเป็นปัญหาสำหรับการขุดคุ้ยเพิ่มเติม พวกโจรที่ฉันติดต่อด้วยบอกมาหน่ะ”
อิมิน่ากดผมของเธอที่ถูกลมพัด อาเช่ก็ทำตาม ในขณะที่โรเบอดิกพึมพำ
“ฉัน ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด พวกมันจะเป็นสิ่งที่ดีถ้าถูกใช้อย่างเหมาะสม แต่ไอ้พวกที่เอาไปใช้ปกครองคนอ่อนแอกว่าเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องดีเลย”
เสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อย นั่นก็เพราะโรเบอดิกมาเป็นเวิกร์เกอร์เพื่อจะได้ช่วยคนที่อ่อนแอกว่า
“เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับงาน เพราะงั้นเลิกเดากันเถอะ ยังไงก็ตาม อาร์เช่ได้สืบเรื่องผู้ว่าจ้างแล้ว ไม่มีปัญหาใช่มั้ย?”
อาร์เช่พึมพำการตรวจสอบที่เธอทำนั้นอาจไม่เพียงพอที่จะสาวไปถึงเรื่องที่ถูกปิดไว้อย่างดี แต่เธอก็ตอบใช่
“ทุกคนเข้าใจแล้วนะ?”
“แน่นอน ฉันจะไม่พูดต่อหน้าทีมอื่นหรอกนะ ว่าเวิกร์เกอร์อาจจะรับคำสั่งลับๆมาจากเอท ฟิงเกอร์ก็ได้ ทีมอื่นอาจจะเกี่ยวข้องกับองค์กรนั้น แต่พวกเราไม่สามารถกล่าวหาใครลอยๆได้ อย่างน้อยไม่ใช่ก่อนเควสนี้เสร็จสิ้น”
“ฉันไม่รู้นะว่าเงินที่เราได้จะเต็มไปด้วยเลือดและน้ำตามากแค่ไหน”
“---จะเลอะแค่ไหน เงินก็คือเงิน และเราต้องใช้มันมีชีวิตอยู่”
หลังจากมองไปที่โรเบอดิก อาร์เช่ก็ถอนหายใจยาวๆเพื่อสงบอารมณ์
“---ขอโทษด้วย ฉันพูดอะไรไม่ดีออกไป”
“ไม่หรอก ฉันต่างหากที่เกือบโพล่งอะไรไม่สุภาพออกไป ขอโทษด้วย”
“---ไม่เป็นไร นายยังไม่ได้พูดอะไรเลย แต่จำไว้นะ ฉันให้ความสำคัญกับเงินมากกว่ามโนธรรมของฉัน แต่--” อาร์เช่ยกมือขึ้นมาตอกย้ำคำพูดที่เธอจะพูดต่อ “ฉันจะไม่ยอมให้เพื่อนๆของฉันทำอะไรที่ไม่ดีเด็ดขาด ฉันเห็นคนหลายคนตายเพราะความโลภมาแล้ว”
“เราเชื่อเธอ อาร์เช่”
อาร์เช่พยักหน้า ไม่มีใครพูดอะไรต่อ พวกเขาสามารถคุยกันด้วยความรู้สึก นั่นเป็นเพราะพวกเขาเคยทะเลาะกันแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง และพวกเขาเชื่อใจในตัวกันและกัน
“คิดว่าไงมั่ง ลางสังหรณ์ฉันบอกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่สุสานนี้จะถูกอะไรบางอย่างควบคุมอยู่”
เฮก เครันมองไปที่หญ้าที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม รูปปั้นเทวดาและเทพธิดาที่สวยงามนั้นดูเหมือนจะถูกดูแลอย่างสม่ำเสมอ ในขณะเดียวกัน ต้นไม้ที่ขึ้นเต็มพื้นที่ทำให้บรรยากาศดูมืดมน การเรียงลำดับในสุสานไม่เป็นไปตามลำดับ แต่กระจายตัวไปจนดูเหมือนฟันอันน่าเกลียดของแม่มดซึ่งขัดกับความสะอาดของ สถานที่เป็นอันมาก
บางสิ่งได้ทำการดูแลสถานที่แห่งนี้ และดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งปกติด้วย ความรู้สึกเย็นยะเยือกได้กัดกินช่องท้องของพวกเขา
เฮกเครันสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปและจดจ่อกับสิ่งก่อสร้างตรงหน้า มีห้องเก็บศพใต้ดินสี่ห้องตามตำแหน่งของเข็มทิศพร้อมกับสุสานขนาดใหญ่ที่ อลังการอย่างมากอยู่ตรงกลาง รูปปั้นนักรบแปดตนที่รายล้อมสุสานนั้นมีขนาดใหญ่ พวกมันให้ความรู้สึกว่ามันผู้ใดที่เข้ามาใกล้และทำลายที่แห่งนี้จะถูกประหาร ทิ้ง
“พื้นที่รอบๆถูกดูแลดีมากแม้แต่มอสซักนิดก็ไม่มี ใครบางคนทำหน้าที่ได้ดีมากเลยคำถามคือ เป็นคนแบบไหนกัน”
ทุกๆ ทีม ยกเว้น เทนมุ มีความเห็นตรงกันว่าแปลกมากตอนที่อ่านคำร้องขออย่างละเอียด พวกเขาได้ยืนยันแล้วว่านอกจากที่ราบแล้วไม่มีอะไรอยู่ใกล้ๆเลย มันผิดปกติอย่างมากที่จะมาสร้างสุสานในที่แบบนี้ อย่างแรกคือสถานที่ตั้ง การสร้างสุสานขนาดใหญ่ในที่ห่างไกลขนาดนี้เป็นอะไรที่น่าสงสัย สาเหตุเพราะความไม่สะดวกในการเดินทาง ถ้าเป็นสถานที่เก็บร่างคนตายแต่เพื่อให้เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงตำนานของผู้ตาย ด้วยก็พอเข้าใจได้เพราะเคยมีการทำแบบนี้มาแล้ว แต่ว่าถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่ปกติอีกที่ประวัติและตำนานของสุสานนี้จะสูญหาย ไป หลังจากที่ทุกทีมได้ทำการค้นคว้าแล้ว ปรากฏว่าไม่พบอะไรที่เกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย แสดงว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกลบออกไปจากประวัติศาสตร์
มันผิดปกติอย่างมาก
ความรู้สึกแปลกๆก่อตัวขึ้นในลำคอพวกเขา คนบางคนถึงกับขมวดคิ้ว
“ถ้ามีคนอาศัยอยู่ที่นี่ มันจะเป็นเรื่องไม่ดีเลย ทำไงดี”
“—มันจะน่ารำคาญ ถ้ามีผู้บริสุทธ์เกี่ยวข้องด้วย”
“จากที่ตัวแทนของทีมคุยกันเมื่อครู่ ไม่มีบันทึกว่ามีซากสิ่งก่อสร้างในบริเวณนี้ หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดก็ไกลออกไปมาก เพราะฉะนั้นแล้วความเป็นไปได้ที่มีคนอาศัยอยู่ที่นี่ก็ต่ำ ถ้ามีก็คงเป็นพวกผิดกฎหมายหรือสัตว์ประหลาด เมื่อดูจากรอยเท้าที่มีน้อยแล้ว เป็นไปได้ว่าพวกนั้นจะไม่ต้องการอาหารหรือไม่ก็สามารถผลิตได้เองจากด้านใน ยังไงก็ตาม ตอนนี้เรามีข้อมูลน้อยไปมาก การสังเกตการณ์ต่อไปจะทำให้เราขังตัวเองอยู่ในมุมมองแล้วความคิดของเราเองนะ
ปกติ แล้ว การค้นพบซากโบราณสถานจะต้องรายงานรัฐบาลผ่านกิลด์นักผจญภัย ผู้ค้นพบจะมีเวลาจำกัดในการสำรวจ และด้วยกฎนี้เอง ในโบราณสถานที่ไม่ถูกเจอโดยรัฐหรือกิลด์ การสังหารพวกนอกกฎหมายนั้นได้รับอนุญาติให้ทำได้”
นี่เป็นกฎที่อิงคำพูดที่ว่า ยอมสังหารผู้บริสุทธิ์พันคนดีกว่าปล่อยให้คนผิดหนึ่งคนรอดไปได้(คุ้นๆเนอะ * ผู้แปล*) มันอาจเป็นกฎที่โหดร้ายแต่มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบางในโลกนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่ามันเป็นปัญหาถ้ามีรังของสิ่งที่ไม่รู้จักอยู่ใกล้ชุมชน มนุษย์ จริงๆแล้วเมื่อ20ปีก่อน มีกลุ่มที่ชื่อซูรานอน(Zuranon)ได้ทำการยึดซากโบราณสถานเพื่อทำการทดลองที่ โหดร้าย ผลของมันนั้นทำให้เกิดภัยพิบัติที่เลวร้าย ถึงแม้ข้อมูลจะมีน้อย แต่ดูเหมือนว่าจะมีเมืองเล็กๆถูกทำลายไปเลย กฎนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกันการเกิดเหตุแบบนั้นอีกครั้ง
“เอา เหอะ ยังไงก็คงเป็นพวกอันเดท(Undead)ตามปกตินั่นแหละ ถ้าที่นั่นเป็นที่อยู่ของพวกนั้น มันคงจะไม่ดีแน่ถ้าเราไม่จัดการพวกมันแล้วขับไล่พลังงานด้านลบออกไปด้วยพลัง ศักด์สิทธ์”
“มันแย่กว่าที่นายคิด ถ้าเราปล่อยพวกอันเดทเอาไว้ มันจะมีโอกาสที่อันเดทชั้นสูงจะปรากฏตัว นั่นเป็นเหตุผลที่ซากโบราณสถานจะมีอันเดทชั้นสูงอยู่”
“ถ้ามีโกเลมที่ถูกทิ้งไว้แล้วทำตามคำสั่งสุดท้ายของเจ้านายเพื่อเก็บกวาด สถานที่อยู่ก็ขอบคุณพระเจ้าเลยหล่ะ จะได้มีอะไรให้กังวลน้อยลงไป แล้วแผนต่อจากนั้นเป็นยังไง”
“ฉันว่าเฮกเครันน่าจะไปแทนฉันนะ”
“ไม่ต้องห่วงน่า หัวหน้าพวกเราไม่ได้ไปเหมือนกันหนิ ต้องส่งคนที่เหมาะกับงานที่สุดไปใช่มั้ยหล่ะ”
อาเช่ถอนหายใจให้กับคำพูดของเฮกเครัน
“ยังไงก็ตาม พอเริ่มมืด ทุกทีมจะเคลื่อนออกพร้อมกัน เราจะเข้าไปพร้อมกัน4ทางแล้วไปรวมตัวกันที่สุสานใหญ่ตรงกลาง”
“เข้าใจหล่ะ เราจะถูกเจอได้ง่ายถ้าเราเข้าไปตอนกลางวันสินะ”
“ใช่แล้ว”
พวกเขาเคลียร์พื้นที่รอบๆและไม่พบสัญญาณของการถูกสังเกต การณ์หรือนักเดินทาง มันไม่ใช่ปัญหาเลยแม้จะบุกเข้าไปตอนนี้ก็ตาม แต่พวกเขาก็ต้องเผื่อกับการเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะฉะนั้นการบุกตอนกลางคืนจะปลอดภัยกว่า
ถึงแม้ว่าปฏิบัติการณ์จะเริ่มตอนกลางคืน พวกเขาก็ยังสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากการสำรวจ ถึงแม้พวกเขามีเวลาน้อยแต่มันก็ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างน้อยก็จากการยืนยันของเหล่ามันสมองของกลุ่ม อีกอย่าง มันจะไม่แปลกเลยถ้าพวกเขาต้องใช้เวลา2-3ในการสำรวจ
“มันจะไม่ปลอดภัยกว่าเหรอถ้าเราจะสำรวจสถานที่ด้วย อินวิซิบิลิตี้ (Invisibility)”
“ก็ มีคิดไว้นะ แต่ก็มีโอกาสที่มันจะทำให้ลำบากมากขึ้น เพราะงั้นจะดีกว่าถ้าเราจะใช้ด้วยกัน เพราะต่อให้สถานการณ์เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น อย่างน้อยเราก็ยังพอทำอะไรได้”
มัน มีหลายวิธีที่จะตรวจพบ ‘อินวิซิบิลิตี้’ มันเลยไม่ใช่เวทย์ที่สมบูรณ์แบบ ถ้าพวกเขาถูกพบโดยระบบรักษาความปลอดภัยของโบราณสถานหลังจากร่ายเวทย์ไว้แล้ว ระดับการรักษาความปลอดภัยจะสูงขึ้นอีกถ้าพวกเขาไม่รู้ว่าผู้บุกรุกเป็นใคร ถ้าพวกเขาพลาดพวกเขาอาจจะไม่สามารถแอบเข้าไปอีกได้เป็นวัน และเพื่อที่จะเลี่ยงเหตุการณ์แบบนั้น พวกเขาตัดสินใจที่จะบุกเข้าไปพร้อมกัน
เฮกเครันพยักหน้ารับรู้ แผนยังมีช่องโหว่ แต่ก็นับว่าสมดุลระหว่างความเสี่ยงกับการบรรลุภารกิจ
“หวังว่าเราจะได้พักบ้างน้า”
“คิดแบบนั้นเหรอ ดาร์กเนส(Darkness) กับ สกรีมมิ่ง วิพ(Screaming Whip)จะรับผิดชอบด้านความปลอดภัย และเพื่อความปลอดภัย เราจะผลัดกันเฝ้ายาม ลำดับกะคือลำดับที่เราไปถึงบ้านของเอิรล์ เวลากะละสองชั่วโมง”
“รับทราบ แสดงว่าคิวเราคือท้ายสุดสินะ”
“ใช่แล้ว เราเป็นลำดับสุดท้าย”
อาร์เช่หันไปแล้วพยักหน้า
“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยาก”
โรเบอดิกพยักหน้าให้อาร์เช่
“----เหนื่อย ชะมัด เราใช้เวลานานเพราะไอ้เวรนั่นเสนอให้บุกเข้าไปด้วยพลัง ต้องใช้ความพยายามมากเลยเพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมมัน มันไม่รู้จักการทำงานเป็นทีมเลย”
“อ๋อ คุณนักดาบอัจฉริยะคนนั้นเอง”
“เรียกมันว่าไอ้เวร (ขอคำนี้ละกันนะครับ เพราะของจริงมันแรงกว่านี้เดี๋ยวไม่เหมาะ)ก็พอละ”
ต่อหน้าคำพูดที่ดุเดือดของอิมิน่า เฮกเครันยิ้มและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“งั้นก็ กลับไปที่แคมป์แล้วรอตาเราเถอะ”
“เห็นด้วย ถึงแม้ดูฝนไม่น่าจะตก แต่ถ้ามาเตรียมตัวทีหลังก็จะสายไป คุณอิมิน่า รบกวนอย่าทำหน้าน่ากลัวด้วย”
“ขอโทษที โมโหมากไปหน่อย พอดีฉันอยากจะแทงมันมากเลย เราตั้งแคมป์ห่างจากมันหน่อยเหอะ”
“ไม่มีปัญหาหรอก ถ้ายังอยู่ในจุดที่จัดให้นะ”
จริงๆแล้วก็โอเคหรอก แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ใกล้กว่านี้แล้วเกิดมีเรื่องกันขึ้น ทั้งสี่คนหันหลังให้โบราณสถานแล้วเริ่มออกเดิน
“---ยิ่งฉันคิดมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งงงมากขึ้นอีก ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเอิร์ลถึงให้คำขอแบบนี้มา”
พวกเขาหันกลับมาเพราะคำพูดนั้น และเจออาร์เช่หยุดมองโบราณสถานนั้น
“ฉัน ไม่สามารถหาเหตุผลหรือช่วงเวลาที่โบราณสถานนี้ถูกสร้างได้เลย เหมือนกับ....จู่ๆมันก็โผล่ขึ้นมา รูปปั้นพวกนั้นทำให้นึกถึงยุคเทพมารแต่ก็ให้ความรู้สึกถึงทางตะวันออก แล้วก็ป้ายหลุมศพรูปกากบาท ฉันไม่เข้าใจเลย”
หลังจากฟังอาร์เช่พึมพำ เฮกเครันก็ต้องพยายามที่จะซ่อนรอยยิ้มและความตื่นเต้นไว้อย่างมาก
“นั่นหมายถึง เรามีโอกาสเจออะไรน่าสนใจสูงใช่มั้ยหล่ะ”
“นั่นก็จริง แต่มันต้องมีอะไรน่ากลัวอยู่ข้างในแน่”
“อาจจะมีอันเดทน่ากลัวก็ได้นะทุกคน”
“อุหว๋า— น่ากลัวจังเรย”
“แค่ฟังก็รู้ว่าของปลอม เฮกเครัน นั่นไม่เหมือนซักนิด แล้วก็อย่าเลียนเสียงฉันน่า ขยะแขยง”
“อ่า โทษที”
“แต่ว่า มันก็ว่าสนุกนะ”
“ใช่ ทำไมสุสานนี้ถึงถูกสร้าง ใครทอดร่างอยู่ที่นี่ มันทำให้ชั้นอยากรู้มากเลยหล่ะ”
“เห็นด้วย การค้นพบอะไรที่ไม่รู้จักเนี่ยน่าตื่นเต้น”
“แล้วสุดท้ายก็ เงิน มันคงดีนะถ้ามีเยอะๆ”
เฮกเครันรู้สึกพอใจกับรอย ยิ้มของเพื่อนร่วมทีม มันมีบ้างที่พวกเขาทำงานสกปรกเพื่อนเงิน แต่งานพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พวกเขาพูดถึงอยากมีความสุขแบบนี้เลย ดูแล้วงานแบบนักผจญภัยคงเหมาะกับพวกเขามากกว่า
อาร์เช่คงไม่สามารถเข้าร่วมได้อีกหลังจากดูแลเรื่องน้องสาวของเธอ มันคงจะใช้เวลาเพื่อจะหาคนมาแทนเธอ และจะใช้เวลาอีกมากกว่าจะทำงานเข้าขากันเป็นทีม มันคงจำเป็นที่ต้องลดระดับความยากของงานลงสักหน่อยเพื่อหางานที่เหมาะกับทีม
งานนี้คงเป็นงานสุดท้ายและยากที่สุดที่พวกเขาจะได้ทำด้วยกันเป็นทีม
จากนี้ไป ทำงานแบบนักผจญภัย มันคงจะดีถ้าได้รับงานสำรวจสถานที่ๆไม่รู้จักเพื่อออกผจญภัยอีก
เฮกเครันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ยามราตรีได้มาเยือน เหล่าเวิร์กเกอร์ได้ออกมาจากเต็นท์ของพวกเขา สำหรับพวกที่ทำงานแบบลับๆแล้วมันเป็นเวลาที่พวกเขาจะเริ่มงาน เหล่านักผจญภัยได้เริ่มการเตรียมอาหาร หลังจากทำการจุดไฟ ของที่มีสีขาว ของแข็งและถ่านถูกใส่ลงไปในกองไฟ แสงไฟถูกอำพรางโดยผลของ 'ดาร์กเนส’ ซึ่งมีผลในการเก็บซ่อนแสงสว่าง แต่ไม่ใช่ตัวไฟโดยตรง ในความมืดนั้น ไฟที่ใช้ต้มน้ำสามารถดึงดูดพวกวอเตอร์สกินได้ดีเลยทีเดียว น้ำที่กำลังเดือดถูกใส่ลงในชาม เสบียงพกพาด้านในเปลี่ยนรูปร่างกลายเห็นซุปที่ส่งกลิ่นหอม พอเพิ่มขนมปังเข้าไป มันก็กลายเป็นอาหารที่พร้อมเสิร์ฟให้กับทุกกคน สิ่งที่นอกเหนือจากนั้น ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ในชามนั้นมีซุปสีเหลืองซึ่งพวกเวิร์กเกอร์ชอบมันเพราะสารอาหารที่มันให้ บางคนได้เพิ่มเนื้อสไลด์หรือสิ่งอื่นๆลงไป ในขณะที่บางคนก็ดื่มทั้งแบบนั้นเลย
ทุกคนหยุดหลังจากหมดชามที่หนึ่ง ถึงแม้เมื่อคิดถึงงานที่รออยู่แล้วจำนวนนี้จะน้อยเกินไป แต่การทานหนักเกินไปก็มีผลกับภารกิจ ส่วนการไม่ทานอะไรเลยก็จะอันตรายเช่นกันเพราะไม่รู้ว่าจะได้กินอีกเมื่อไหร่ อาหารฉุกเฉินเองก็มีจำกัดเนื่องจากการพกพาเยอะไปจะมีผลกับความคล่องตัว มันเป็นอะไรที่ต้องการความแม่นยำอย่างมาก
หลังจากที่คืนชามให้นักผจญภัยแล้ว ทุกคนก็หยิบสัมภาระของตน ในขณะที่นักผจญภัยเฝ้ามอง เหล่าเวิร์กเกอร์ก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน เหล่านักผจญภัยมีหน้าที่แค่คอยรักษาเบสแคมป์เท่านั้นและจะไม่เข้าร่วมการ แทรกซึมเข้าสู้สุสาน
หลังจากลงจากเนินเขา ทุกคนก็ได้กระจายตัวออกไปรอบๆโบราณสถาน พวกเขาได้เตรียมการเผื่อการถูกพบไว้เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากมีหลายคนใส่ชุดเกราะแบบฟูลเพลท ทำให้การเคลื่อนไหวนั้นช้าและเกิดเสียงดังส่งผลให้ภารกิจแทรกซึมแทบเป็นไป ไม่ได้ แต่ว่าพวกเขาก็เตรียมการรับมือไว้แล้ว สำหรับคนที่ใช้เวทย์มนตร์ได้นั้น การจัดการเรื่องนี้ช่างง่ายมาก
ก่อนอื่น พวกเขาร่ายเวทย์ ไซเลนท์(Silent) ซึ่งเป็นเวทย์ที่จะลบเสียงในพื้นที่ๆหนึ่งออกไป ทำให้เสียงฝีเท้าและชุดเกราะนั้นไม่สามารถถูกได้ยินได้ ต่อไปคือเวทย์ อินวิซิบิลิตี้ (Invisibility) ซึ่งจะทำให้เป้าหมายไม่สามารถถูกเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เพื่อเป็นการระวังตัว หน่วยจู่โจมที่มีเวทย์ อินวิซิบิลิตี้(Invisibility), ไซเลนท์(Silient) รวมถึง ฮอว์คอาย(Hawk Eye)ร่ายใส่เพื่อทำการเผ้าระวังจากบนฟ้า และเพื่อรับมือกับปัญหา พวกเขายังมีลูกธนูที่มีสภาพผิดปกติต่างๆ
หลังจากเตรียมการทั้งสองเฟสเสร็จสิ้น พวกเขาก็ถึงที่หมาย และนี่คือที่ๆภารกิจเริ่มอย่างเป็นทางการ
พวกเขาโรยตัวลงจากเนินไปที่โบราณสถานด้านล่าง หลังจากสำรวจพื้นผิวเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะมารวมพลที่สุสานใหญ่ตรงกลาง และทั้งหมดนั่นต้องทำในขณะที่อินวิซิบิลิตี้(Invicibility)ยังมีผลอยู่
เพื่อที่จะลดการเจอกับสิ่งไม่คาดฝัน พวกเขาต้องเดินตามรอยเท้าของกันและกัน ยังไงก็ตาม มันก็ยากที่จะบอกทำแหน่งทุกคนในความมืดแถมทุกคนยังหายตัวด้วย
แต่ว่า พวกเค้าได้เตรียมรับมือเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว แท่งบางอย่างยาวประมาณ30เซนติเมตรได้ลอยขึ้นลงสู่พื้น มันเหมือนลอยอยู่กลางอากาศแต่จริงๆแล้วคือมีคนที่หายตัวถือมันไว้ แท่งนั้นส่องแสงออกมาหลังจากถูกงอ สิ่งนี้คือแท่งเรื่องแสงซึ่งถูกสร้างด้วยการใส่ของเหลวที่ผ่านการแปรธาตุไว้ ด้านใน มันจะผสมเข้าด้วยกันเมื่อถูกงอแล้วจะส่องแสงออกมา พวกเขาต้องโยนมันลงพื้นเพราะผลของอินวิซิบิลิตี้จะส่งผลไปถึงของที่ถือด้วย เพื่อที่จะให้คนอื่นเห็น มันต้องไม่ถูกถือโดยเจ้าของ
หลังจากที่ส่องแสงอยู่พักนึง แท่งเหล่านั้นก็ถูกทำลายเมื่อบรรลุจุดประสงค์ สารเคมีเรืองแสงสาดลงบนพื้น และหายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อสัมผัสกับดิน
เมื่อถึงตรงนี้ มันเป็นการส่งสัญญาณว่าทีมนั้นพร้อมแล้ว
มันไกลเกินไปที่จะมองเห็นทีมอื่น แต่เชือกสี่เส้นได้โรยลงมายังพื้นผิวของมหาสุสานแห่งนาซาริก เชือกได้ถูกผูกปมไว้เป็นระยะเพื่อให้การไต่ง่ายขึ้น ส่วนปลายของเชือกได้ถูกผูกเข้ากับสมอที่ถูกปักลงบนพื้น ในขณะที่อีกด้านแกว่งเล็กน้อย
ถ้ามีใครที่สามารถมองทะลุเวทย์อินวิซิบิลิตี้(Invisibility)ได้ พวกเขาก็จะมองเห็นคนกำลังปีนลงมาด้วยเชือกแน่นอน
สำหรับคนอย่างอาร์เช่ ที่แม้จะเน้นไปทางด้านเวทย์มนต์และความรู้แทนความคล่องแคล่วก็ยังสามารถทำ ได้ง่ายๆ หรือจะให้พูดคือ จะเวิร์กเกอร์หรือนักผจญภัย ก็จำเป็นที่จะต้องฝึกร่างกายให้มีความแข็งแกร่งเพื่อที่จะบรรลุภารกิจ และก็เป็นเพราะปมที่อยู่ตามเส้นเชือก ไม่มีใครตกลงมาเลย ทุกๆคนลงถึงพื้นสุสานอย่างปลอดภัย
เป้าหมายแรกของพวกเขาคือห้องเก็บศพใต้ดินที่มีขนาดเล็กกว่า
พอผลของอินวิซิบิลิตี้(Invisibility)หมดไป สมาชิกทุกคนก็ปรากฏตัวออกมาให้เห็น แต่ละทีมมุ่งหน้าสู่ห้องเก็บศพตามที่ได้รับมอบหมาย ขณะที่ค่อยๆย่อตัวลงและเข้าใกล้ป้ายสุสาน ต้นไม้ และรูปปั้น พวกเขาได้เข้าพื้นที่สู่สุสานที่ค่อนข้างมืด ไซเลนท์(Silent)นั้นยังมีผลอยู่ทำให้พวกเขานั้นไม่ส่งเสียงเลย แม้แต่นักรบที่ใส่ชุดฟูลเพลทก็พยายามเต็มที่ที่จะไม่ทำให้ถูกพบ เงาจำนวนนึงได้เคลื่อนที่ไปตามพื้น

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่หัวหน้าของเฮฟวี่ แมชเชอร์ กรีนแฮมเข้าไปใกล้ที่เก็บศพ ตาของเขาก็ขยายออกเล็กน้อย เนื่องจากมันหรูหรากว่าที่เขาคาดไว้ แม้จะบอกว่าเป็นที่เก็บศพขนาดเล็กซึ่งเล็กกว่าสุสานหลักที่อยู่ตรงกลาง แต่ขนาดและความสง่างามของสถาปัตยกรรมก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ก้อนหินสีขาวบนกำแพงนั้นถูกขัดอย่างหมดจด ถึงแม้เวลาคงจะผ่านมานานนับจากถูกสร้าง แต่ก็ไม่ปรากฏความเสียหายจากลมและฝนเลยแม้แต่น้อย
ถัดจากบันไดสามขั้นทำจากหินขึ้นไปคือประตูเหล็กหนา ตัวประตูก็ถูกดูแลอย่างดีโดยที่ไม่มีสนิมเกาะเลย แม้แต่เหล็กที่มีสีดำก็ยังส่องประกายออกมา แสดงให้เห็นได้ชัดว่าสถานที่นี้ถูกดูแลดีแค่ไหน
---นั่นแสดงว่า มีคนอาศัยอยู่ที่สุสานแห่งนี้
ขณะที่กรีนแฮมสรุปในใจ โจรที่เป็นเพื่อนร่วมทีมของเขาก็ค่อยๆเข้าไปสำรวจอย่างช้าๆโดยเริ่มจากบันได
กรีนแฮมได้รับสัญญาณบอกให้ถอยออกไปเนื่องจากผลของไซเลนท์ยังมีอยู่ เขาค่อยๆถอยออกไป นี่ก็เพื่อระวังกับดักที่ส่งผลเป็นบริเวณกว้าง
ขณะที่โจรกำลังตรวจสอบกับดัก เขาก็เริ่มรู้สึกอยู่ไม่สุขขึ้นมา
วิญญาณที่อยู่ในร่างของมนุษย์นั้น เมื่อร่างเริ่มที่จะเน่าเปื่อย วิญญาณจะถูกเรียกออกจากร่างโดยพระเจ้า นั่นคือเหตุผลที่ทำไมคนตายถึงต้องถูกฝังทันที ตามปกติแล้วจะใช้ที่เก็บศพใต้ดิน แต่ก็จะต่างออกไปแล้วแต่สถานะของบุคคลตัวอย่างเช่น เหล่าขุนนาง แต่ถ้าคนที่ตายถูกฝังดินทันที พวกเขาจะต้องถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งเพื่อยืนยันการย่อยสลาย เมื่อยืนยันแล้วว่าศพเริ่มย่อยสลาย ร่างก็จะถูกเก็บไว้เพื่อที่จะฝังอีกครั้ง แต่แน่นอนว่า ที่เก็บย่อมไม่ใช่ในบ้านของขุนนางเอง ที่ๆพวกเขามักใช้คือที่เก็บศพภายในสุสาน หลังจากเก็บไว้ระยะหนึ่ง บาทหลวงก็จะตัดสินว่าร่างเริ่มเน่าและวิญญาณถูกพระเจ้าเรียกออกไปแล้วค่อยนำ เอาร่างไปฝัง สถานที่ที่ศพทอดร่างนั้นมักจะเป็นพื้นที่ว่างของที่เก็บศพของชุมชน พื้นที่เหล่านี้จะมีช่องหินสำหรับวางร่าง ภาพที่ศพเน่าหลายๆร่างนอนเรียงกันอาจจะดูขยะแขยง แต่นี่คือสามัญสำนึกของโลกนี้
สำหรับขุนนางหรือคนที่มีฐานะนั้นจะต่างออกไป แทนที่จะใช้ที่เก็บศพของชุมชน พวกเขาจะใช้ที่เก็บศพที่ใช้กันมาหลายชั่วอายุคน ห้องที่บุคคลเหล่านั้นใช้พักผ่อนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปพบกับพระเจ้า ที่เก็บศพนั้นจะมีเจ้าของและส่งผ่านมาในครอบครัวในฐานะสัญลักษณ์แห่งอำนาจ
มันยังเป็นเรื่องปกติที่จะพบของใช้ในบ้านกับสมบัติเช่นกัน นั่นหมายถึงแม้แต่ห้องเก็บศพก็เป็นเหมือนขุมสมบัติสำหรับเหล่าโจรปล้นสุสาน และแน่นอน มันมักจะมีกับดักสร้างขึ้นเพื่อรับมือผู้บุกรุก
ซึ่งก็มักจะจริงสำหรับที่เก็บศพที่หรูหราขนาดนี้ โจรจากทีมของกรีนแฮมจึงต้องตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน
หลังจากที่โจรตรวจสอบเสร็จสิ้นและมุ่งหน้าไปที่ประตู เสียงก็กลับมากะทันหัน
ผลของไซเลนท์(Silent)ได้หมดไปแล้ว ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีมาก โจรได้เดินเข้าหาประตูอย่างเงียบๆและค่อยๆตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และสุดท้าย เขาหยิบหูฟังออกมาและแนบลงไป เวลาผ่านไปไม่กี่วินาที โจรได้หันกลับมาหากรีนแฮมและทีมพร้อมกับส่ายหัว นั่นคือความหมายว่า “ไม่มีอะไร” โจรได้เอียงคอพร้อมกับคิดว่ามันแปลก แน่นอนว่ามันแปลกที่ประตูไม่ได้ล็อก แต่เขาก็ไม่เจออะไรอีก ซึ่งต่อไปเป็นตาของแนวหน้า
กรีนแฮมเดินไปข้างหน้า เขาจับประตูพร้อมกับโจร ด้านหลังพวกเขามีนักรบที่ถือโลห์
กรีนแฮมดันที่จับประตูลงและค่อยๆเปิดประตู มันคงมีน้ำมันหล่อลื่นหรือไม่ผู้ดูแลก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี เพราะประตูบานหนักนั้นเปิดออกอย่างง่ายดายไม่เหมือนกับรูปร่าง
นักรบที่ตั้งท่าเตรียมพร้อมได้ยกโลห์ขึ้นเพื่อป้องกันธนูหรือกับดัก แต่ว่า..
ไม่มีอะไรที่เหมือนธนูถูกยิงออกมา ประตูเหล็กถูกเปิดออกและข้างในมีแต่ความมืด
“คอนทินวล ไลท์(Continual Light)”
เวทย์ มนต์ที่ถูกร่ายโดยเมจิกแคสเตอร์อัญเชิณดวงไฟเวทย์ออกมา แสงไฟจากดวงไฟเวทย์ปรับแสงอย่างช้าๆ ที่เก็บศพก็อาบไปด้วยแสงไฟ และด้วยเวทอีกบท อาวุธของนักรบก็ส่องแสงออกมาเช่นกัน สิ่งที่แสงไฟแสดงให้เห็น คือห้องที่สามารถชวนให้เข้าใจผิดได้ว่าคือห้องของขุนนาง
ตรงกลางห้องมีโลงหินที่พบเห็นได้ตามโบสถ์ที่มีรอยสลักบนโลง รูปปั้นทำจากอลาบาสเตอร์(น่าจะหินอ่อนหรือหินปูนนะครับ ไม่แน่ใจ**ผู้แปล**)สี่รูป สลักเป็นนักรบในเกราะเต็มตัวพร้อมดาบและโลห์ยืนอยู่มุมห้องสี่มุม และ----
“หืม— ตรานี่เหมือนกับอันไหนที่นายรู้มั้ย”
“อืม ไม่เลย”
ที่แขวนอยู่บนกำแพงคือป้ายสัญลักษณ์มีขอบสีทอง ที่อยู่บนป้ายคือตราสัญลักษณ์ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ราชอาณาจักรนั้นอาจจะเป็นเมืองต่างแดน แต่โจรกับนักเวทก็จะรู้จักตราประจำตระกูลของขุนนางหรือกษัตริย์ ถ้าพวกเขาไม่รู้ ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมาจากต่างแดน
“หรือว่าจะเป็นขุนนางยุคก่อนก่อตั้งอาณาจักร?”
“นายจะบอกว่านี่มันมาจากมากกว่า200ปีก่อนเหรอ?”
มีหลายประเทศถูกทำลาย โดยเทพมารเมื่อ200ปีก่อน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมถึงมีไม่กี่ประเทศที่มีประวัติศาสตร์มากกว่า200ปี อาจักร อาณาจักรศักดิ์สิทธ์ หรือแม้กระทั่งจักรวรรดิเอง ก็ถูกก่อตั้งเมื่อไม่ถึง200ปีที่ผ่านมา
“ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ทำไมถึงมีสภาพดีแบบนี้ มันทำจากอะไรกัน”
“มันคงจะถูกร่ายเวทย์คงสภาพเอาไว้ หรือไม่ก็ซ่อมแซมตัวเองด้วยเวทย์มนตร์ละมั้ง”
“จะว่าไปหัวหน้า ช่วยหยุดวิธีพูดแปลกๆได้มั้ย ตอนนี้เราก็อยู่ตามลำพังแล้ว”
“หืมมมม”กรีนแฮมขมวดคิ้ว “เฮ้อ เหนื่อยเป็นบ้า”
“มันคงจะยากแหละ อย่างที่เค้าพูด ไม่เป็นไรถ้ามีแค่พวกเราใช่มั้ย”
“เฮ้ย ไม่ได้เฟ้ย การพูดแบบนั้นมันทำให้ชั้นดูเป็นเวิร์กเกอร์ที่เก่ง มันเปลี่ยนกันกะทันหันไม่ได้จริงมะ แล้วพวกแกไม่รู้นโยบายตอนทำงานของชั้นเรอะ”
กรีนแฮมตอบเพื่อนที่กำลังยิ้มด้วยรอยยิ้ม
กรีนแฮมเดิมทีเป็นลูกชายคนที่สามของชาวนาที่อยู่ในอาณาจักร แล้วก็เป็นอย่างคำพูดที่ว่า ถ้าแบ่งพื้นที่ให้คนแต่ละคน พอผ่านไปจากรุ่นสู่รุ่น ที่ๆแต่ละคนจะได้ก็จะมีขนาดเล็กลง ผืนนาที่แต่ละครอบครัวจะเก็บเกี่ยวได้ก็น้อยลง นั่นคือเหตุผลที่ทำไม ลูกคนโตจะเป็นเจ้าของที่นา ลูกคนรองช่วยงาน ในขณะที่คนที่สามลงไปไม่ใช่อะไรนอกจากปัญหา เป็นเรื่องปกติมากที่พวกเขาจะเข้าเมืองเพื่อไปเสี่ยงโชค แต่ว่าสำหรับกรีนแฮมที่มีร่างกายแข็งแรง มันเป็นไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตามสุดท้ายเป็นแค่ชาวนา และการศึกษาที่เขาได้รับในฐานะตัวสำรองของตัวสำรองก็ไม่ได้มีอะไรดี นั่นรวมไปถึงการอ่าน เขียน มารยาท
มันก็จริงที่เวิร์กเกอร์ใช้ความสามารถเพื่อบรรลุภารกิจ ไม่ใช่มารยาท อย่างไรก็ตามในฐานะหัวหน้า เขาต้องพยายาม แต่ว่ามันก็ไม่เหมือนพรสวรรค์ในทางกายที่เขามี เขาไม่มีความสามารถในทางนี้มากนัก ที่เขายังเป็นหัวหน้าอยู่ได้ก็เพราะเขาได้รับการยกย่องในด้านอื่นๆ ยังไงก็ตาม เขาก็พยายามเต็มที่เพื่อไม่ทำให้เพื่อนร่วมทีมขายหน้า
“วิธีพูดแบบนี้ ทำไปเพื่อโฆษณาทีมตัวเอง” นั่นคือสิ่งที่เขาอยากให้ผู้ว่าจ้างคิด
ยังไงก็ตาม ผู้คนก็ยังมีดูถูกเขาอยู่ แต่ว่าภาพลักษณ์ก็ยังดีกว่าชาวนาทึ่มๆ
“อาวหล่ะ หมดเวลาพักแล้วสาวๆ ไปกันต่อได้”
กรีนแฮมประกาศแล้วทุกคนก็เริ่มออกเดินต่อ
อย่างแรก โจรจะเข้าไปสู่ที่เก็บศพอย่างระมัดระวังเพื่อค้นหากับดัก ส่วนที่เหลือจะเอาท่อนเหล็กขวางประตูไว้เพื่อที่ประตูจะได้ไม่ปิดสนิทแม้จะ มีกลไกปิดประตู เพื่อกันไม่ให้แสงเล็ดลอดออกไป ประตูได้ถูกปิดไว้ครึ่งเดียว ระหว่างที่โจรตรวจห้อง กรีนแฮมและพวกยังคงตื่นตัวไม่ประมาท เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้แสง ทำให้มีโอกาสที่พวกเขาจะถูกพบได้ ขณะที่กรีนแฮมและพรรคพวกเฝ้าระวังรอบๆ โจรได้เข้าไปที่ใต้ป้ายผ้าเพื่อตรวจสอบ หลังจากเตรียมใจสักครู่ เขาได้ยื่นมือไปที่ป้ายผ้าและดึงกลับแบบประหม่าหลังจากที่ได้จับมัน
“ไม่มีปัญหา ทุกคนเข้ามาได้”
โจรหันหัวไปทางกรีนแฮมและคนอื่นขณะที่ชี้ไปที่ป้ายผ้า
“เจ้านี่....มีค่ามาก มันทำมาจากด้ายทอง”
“ฮ้าาาาาาาาาาาาา......... ด้ายทอง แล้ววางไว้ประเจิดประเจ้อแบบนี้เนี่ยนะ พวกนี้ยังสติดีอยู่หรือเปล่า”
ทุก คนมีสีหน้าประหลาดใจ พวกเขาเข้ามาล้อมที่ป้ายผ้าและผลัดกันจับ สัมผัสเย็นๆที่ปลายนิ้วบอกว่ามันคือโลหะแน่นอน ดูจากความอลังการแล้วการประเมินของโจรนั้นถูกต้อง จากขนาด น้ำหนัก และความงดงามแล้ว มันมีค่ามาก
“เรายกอันนี้ให้ผู้ว่าจ้างละกัน ถึงแม้ว่าเรา4ทีมยังไม่ได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน มันต้องมีสมบัติเพียบแน่นอนที่นี่”
“เราจะเอาไปเลยมั้ย”
กรีนแฮมตอบข้อเสนอของโจรว่า “มันใหญ่เกินไป แถมหนักด้วย เราค่อยมาเอาทีหลังละกัน มีใครค้านมั้ย?”
“ไม่มี มันจะทำให้เราเคลื่อนไหวยากถ้าเราแบกมันไปด้วย แล้วก็จากที่สำรวจดูแล้ว ไม่มีกับดักหรือประตูลับด้วย”
“เอาหล่ะ ช่วยหน่อยนะ”
กรีนแฮมพยักหน้าให้นักเวท เมจิคแคสเตอร์ก็พยักหน้ารับแล้วร่ายเวท
“ดีเทค เมจิก(Detect Magic)—สัมผัสไม่ได้ถึงกับดักเวทเลยด้วย เราสามารถลบความเป็นไปได้ที่จะมีใครใช้เวทย์มนต์ซ่อนตัวอยู่ได้เลย”
“การตรวจสอบเกือบเสร็จแล้ว เหลือแค่เป้าหมายหลัก”
สายตาของพวกเขาหยุด อยู่ที่โลงหินกลางห้อง โจรใช้เวลาอีกสักพักเพื่อตรวจสอบ แล้วบอกว่าไม่มีกับดัก กรีนแฮมกับนักรบพยักหน้าให้กันแล้วเริ่มการเปิดโลง เนื่องจากฝานั้นใหญ่ทำให้มันควรจะหนัก แต่ว่ามันกลับเบากว่าที่คิด พวกเขาใช้แรงมากไปจนทำให้เสียหลัก
ฝาของโลงหินถูกเปิดออก แสดงให้เห็นถึงแสงมากมายส่องประกายออกมาจากข้างใน ทอง เงิน และอัญมณีหลากสีสัน และยังมีเครื่องประดับที่ส่องประกายอีก รวมถึงเหรียญทองมากกว่าร้อยเหรียญกระจายอยู่ข้างใน
แน่นอนว่าพวกเขาคาดหวังอะไรดีๆหลังจากได้เห็นป้ายผ้า แต่กรีนแฮมก็ยังฉีกยิ้มกว้างแทบจะถึงหูทั้งสองข้าง โจรที่กำลังสำรวจได้หยิบของขึ้นมาชิ้นนึง สร้อยคอทองคำ มันดูเหมือนสร้อยคอธรรมดา แต่พอดูใกล้ๆบนสายโซ่มีอักระที่สวยงามสลักไว้ มันคือเครื่องประดับที่บริสุทธ์ไร้ที่ติ
“ประเมินแบบต่ำๆก็100เหรียญทอง ถ้าเจอคนซื้อที่ดีๆก็ถึง150เหรียญเลยหล่ะ”
หลัง จากฟังการประเมินของโจรแล้ว ทุกคนมีปฏิกิริยาต่างกันออกไป บางคนผิวปากขณะที่บางคนยิ้ม แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือความดีใจและเพลิงแห่งความโลภที่ลุกโชนอยู่ใน ตาของทุกคน
“แค่ครึ่งเดียวของที่ได้ก็50เหรียญทอง ตกคนละ10เหรียญทอง นั่นเป็นจำนวนที่น่าขนลุกมาก”
“นี่มันสุดยอด...หรือว่าโบราณสถานนี้จะเป็นขุมสมบัติ”
“สุดยอด นี่มันยอดไปเลย”
“จริงด้วย ทิ้งของพวกนี้ไว้ที่นี่ก็เสียของแย่ เอามันไปใช้ให้ดีเหอะ” ขณะที่พูด นักเวทก็หยิบแหวนที่ประดับด้วยทับทิมก้อนโตขึ้นมาแล้วจูบลงบนทับทิมก้อนนั้น “ก้อนใหญ่มากกก”
นักบวชยื่นมือลงไปแล้วหยิบเหรียญทองขึ้นมา เขาปล่อยให้มันไหลผ่านนิ้ว เสียงของเหรียญทองกระทบกันดังให้ได้ยิน
“ชั้นไม่เคยเห็นเหรียญแบบนี้มาก่อนเลย มันมาจากยุคไหนสมัยไหนและประเทศไหนกัน”
ขณะ ที่ใช้มีดขูดผิวของเหรียญทอง โจรก็พูดพร้อมกับถอนหายใจ “พวกนี้เป็นทองบริสุทธ์ แค่น้ำหนักก็หนักสองเท่าของเหรียญปกติแล้ว มูลค่าอาจจะสูงขึ้นได้อีกเพราะความสวยงามของมัน”
“ที่นี่มันช่าง หึหึหึหึหึ”
เสียงหัวเราะได้ยินมาจากกลุ่มคนที่ยิ้มไม่หยุด เพราะแค่แบ่งส่วนจากของที่เก็บได้ก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆแล้ว
“เอา หล่ะพวกแก ไว้ค่อยขอบคุณพระเจ้าของใครของมันทีหลัง หยิบเอาแค่ของที่เอาไปได้ก่อนแล้วกลับไปที่เป้าหมายหลัก ถ้าเราไปช้าเดี๋ยวส่วนของเราจะถูกเอาไปนะ”
“โโโโโโอ้!!!!”
คำพูดของกรีนแฮมได้รับการตอบรับอย่างเร่าร้อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น