วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

Vol 6 Epilogue


เดือน  9 วันที่ 6 เวลา 08:45

เหล่าเมดกำลังยืนเรียงตัวกันอยู่ตรงหน้าของเซบัส พวกเธอมีทั้งหมดอยู่ 41 คนและทั้งหมกนั้นเป็นโฮมุนคุส โดยมีหัวหน้าเป็นเมดที่มีหัวเป็นสุนัข เพสโทย่า เอส วานโกะ ซึงเป็นเมดทั่วไปของนาซาริก

"ทุกคน นี่คือเมดรับใช้คนล่าสุดของนาซาริก"

"ฉันมีชื่อว่าซัวเร่นินย่า ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านค่ะ"

หัวหน้าเมดได้ก้มศรีษะลงเป็นการทักทายทรัวเร่แทนทุกคน

หลังจากที่ได้คุยกับเหล่าเมด ซัวเร่ก็ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวอะไรออกมา
นอกเสียจากรอยเย็บที่วิ่งลงมาตรงกลางหน้าของเธอ เพสโทย่าได้แสดงสายตาออกมาอย่างอ่อนโยน นอกจากนี้เหล่าเมดที่เป็นมนุษย์ข้างหลังเธอก็ไม่ได้แสดงใบหน้าที่กลัวใดๆออกมา.

แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ก็ยังดูเหมือนว่าความกลัวของซัวเร่ที่มีต่อคนอื่นนั้นยังไม่หายไปเสียหมด ถึงเธอจะเข้ากับคนอื่นได้เป็นอย่างดี แต่เธอก็รู้สถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ เพื่อที่จะหันเหความสนใจเธอจะต้องพยายามทำงานให้หนักเข้าไว้

หากเราไม่จับตาดูเธออย่างระมัดระวังเธออาจจะเป็นอันตรายได้

ในขณะที่เซบัสกำลังขบคิดปัญหาเหล่านี้การทักทายแนะนำตัวก็เสร็จสิ้นลงไปและเหล่าเมดก็แยกย้ายกันไป จากนั้นซัวเร่หันไปดูเซบัส เซบัสพยักหน้าให้กับเธอและเธอก็พยักหน้าตอบก่อนที่จะเดินออกไปเช่นกัน

"ท่านเซบัสคะ ต้องฝึกมนุษย์ผู้นี้อย่างไรบ้างคะ-วาน?"

"ฝึกเธอจนกว่าจะมีคุณสมบัติที่จะเป็นเมดของนาซาริกถึงอย่างงั้นเธอก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ ได้โปรดอย่าทำให้เธอฝืนจนเกิดขีดกำจัดก็แล้วกันนะครับ"

"เข้าใจแล้ว-วาน"

เพสโทย่าหยักหัวสุนัขของเธอ แม้ว่าท่าทางของเธอจะเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังล่าเหยื่อแต่ดวงต่าของเธอนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความอบอุ่น

"ฉันคิดว่าสำหรับเธออาจจะเรียนรู้การเป็นเมดได้เพียงขั้นต้นเท่านั้น"

"คุณหมายความว่ายังไงกันครับ?"

เพสโทย่าตอบคำถามของเซบัสที่กำลังค่อนข้างงงกับความหมายและสงสัยว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร

"...วาน ถ้าจะให้พูดก็คือ ฉันคิดว่าเธออาจจะให้ได้ออกจากตำแหน่งนี้หลังจากแต่งงาน-วาน"

"อะไรนะ?!"

เซบัสทำหน้ายืดออกมา,เพสโทย่าให้หัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยนดังสะท้อนไปทั่วชั้นเก้าของมหาสุสานนาซาริก





















เดือน 9 วันนที่ 7 เวลา 16:51

หนักจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีแขกในตอนนี้และเป็นเวลาที่เหมาะสม ไคล์มได้เปิดประตูเข้าไปที่ห้องของเจ้าหญิงเรนเนอร์

เจ้าหญิงนั่งอยู่ในที่ประจำของเธอ ห้องของเธอตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงของพระอาทิตย์ทำให้เธอดูสว่างไสวเช่นสปอตไล

ยินดีต้อนรับค่ะ ไคล์ม

ความงดงามที่อ่อนโยนได้สงบหัวใจอันเร่าร้อนของไคล์มและเขารู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยา ไคล์มผ่อนคลายสีหน้าของเขาลงและเดินไปข้างหน้าของเรนเนอร์

มานั่งตรงนี้ก่อนสิคะ ไคล์ม

ไม่เป็นไหรหรอกครับ เจ้าหญิง ผมแค่มาช่วยงานเก็บพวกซากปีศาจเท่านั้นเอง

เรนเนอร์ตาเป็นประกายออกมาเพราะเป็นคำสั่งของเธอนั่นเอง การที่เขาจะตอบกลับมาแบบนั้นมันก็ถูกอยู่แล้ว

งานต่อไปของไคล์มนั้นคือการรักษาความปลอดภัยที่ได้รับผิดชอบส่วนในการป้องกันสมาคมจอมเวทย์

เพราะว่าที่นั่นมีไอเทมบางอย่างอยู่

แม้จากภาพรวมจะยังไม่สามารถรู้ว่าสาเหตุที่พวกปีศาจโจมตีเมืองหลวงคืออะไรกันแน่ แต่พวกเขาได้พบไอเทมเวทย์มนต์ในคลังสินค้าเป็นจำนวนมาก สมาคมนักเวทย์กำลังวิเคราะห์และตรวจสอบของพวกนี้อยู่ แต่พิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้วไอเทมเวทย์มนต์พวกนี้มันดูแปลกๆ จากข้อมูลที่ได้จากจัลดาเบาท์ดูเหมือนว่าเขากำลังหาบางอย่างจากหนึ่งในของพวกนี้

นั่นเป็นเหตุที่ทำให้สมาคมนักเวทย์ต้องรวบรวมคนเก่งๆเข้ามา จนกว่าพวกเขาจะตัดสินใจได้ว่าจะทำลายไอเทมเวทมนต์พวกนี้ยังไง ทำเป็นจะต้องมีกลุ่มนักผจญภัยปกป้องพวกเขาอยู่ตลอดเวลา เป็นธรรมดาที่ไคล์มจะเป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือก

มันช่างน่ารำคาญจริงๆ, ที่เราไม่สามารถลงโทษพวก [Eight Fingers] ที่ซื้อไอเทมพวกนี้เข้ามาในเมืองหลวง

แม้จะอยู่ต่อหน้าเจ้าหญิงเรนเนอร์ไคล์มก็ไม่อาจจะระงับความระคายเคืองนี้ได้เลย

ไอเทมเวทมนต์ที่นำพามาซึ่งโศกนาฎกรรมสู่เมืองหลวงถูกพบในคลังสินค้าและมันเชื่อมโยงไปยังพวก [Eight Fingers] ที่ลักลอบขนมันเข้ามา ในกรณีนี้พวกเขาควรจะออกไปกวาดล้างพวกมัน แต่กลับมีเหตุบางอย่างที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้

ที่พวกเขาค้นหาพวกไอเทมนี้ได้ก็เพราะได้ข้อมูลจากจัลดาเบาท์ที่หลุดออกมาจึงต้องรีบจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้นั่นคือความเห็นของเรนเนอร์ จัลดาเบาท์นั้นอาจจะดูถูกมนุษย์มากเกินไปเลยทำให้กองกำลังของเขาไม่สามารถปกปิดข้อมูลเหล่านี้ได้

หลักจากที่ทุกคนเข้าใจแล้วว่าข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดนั้นมันใครเป็นคนปล่อยออกมา คงทำให้นั่นเป็นเหตุที่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรพวก [Eight Fingers] ได้

คุณจะไปทำงานกับหัวหน้าอัศวินใช่ไหมคะ? ดีแล้วค่ะงั้นก็คงจะวางใจทุกอย่างได้แล้ว แล้วผู้คนที่คุณได้ช่วยไว้เป็นยังไงบ้างคะ? คุณทั้งทำงานในพระราชวังแล้วยังต้องออกไปทำงานข้างนอกอีกยังไหวอยู่ใช่ไหมคะ?”

หัวใจของไคล์มแทบทะลักออกมาเพราะเรนเนอร์ที่ยิงกระสุนเข้ามาที่ใจของเขา

"คะ-ครับ. ทุกคนหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ตอบแทนพระคุณเจ้าหญิง"

"ดีจังเลยนะคะ งั้นดิฉันจะต้องไปพบกับพวกเขาเสียแล้ว"

"ทำอย่างงั้นไม่ได้นะครับ!"

ทันทีที่เสียงร้องออกจากปากของไคล์มเขารู้ว่าที่พูดไปนั้นไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เขาได้ลดหัวลงและพยายามพูดอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามอธิบายถึงคำพูดก่อนหน้านี้

"ทุกคนกำลังยุ่งกันอยู่นะครับและผมเชื่อว่าการปรากฎตัวของท่านจะหันเหนทุกคนจากการทำงานอย่างหนัก แม้ว่าจะเป็นการดูหมื่นความเอื้ออาทรของท่านก็ตามแต่ผมหวังว่าท่านจะเข้าใจความหมายที่ผมต้องการพูดนะครับ."

ก่อนที่เขาจะยกหัวขึ้นมา ไคล์มเป็นกังวลว่าใบหน้าที่สวยงามของนายหญิงอันเป็นที่รักของเขาจะดูเป็นทุกข์ไหมหรือทำหน้ามุ่ยที่ไม่สมกับอายุของเธอ แต่ไคล์มกลับไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านั้นเลย

เธอกำลังยิ้ม

มันไม่ได้ออกมาแค่เพียงที่มุมปาก แต่รอยยิ้มนั้นเต็มเปี่ยมจนเต็มใบหน้าของเธอ

ไคล์มได้เห็นเรนเนอร์ยิ้มมาหลายครั้งแล้ว ย้อนเวลากลับไปเขามีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอหลังจากเขาเสร็จงานกลับมา แต่รอยยิ้มครั้งนี้ช่างแตกต่างจากรอยยิ้มที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น

ก่อนที่เธอจะตอบ การแสดงออกของเธอก็กลับไปเป็นรอยยิ้มจางๆเหมือนเดิม

"...ถ้าอย่างงั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องทำแล้วค่ะ"

ไคล์มรู้สึกโล่งใจที่เรนเนอร์ยอมรับคำอธิบายของตน

ความจริงแล้วเขากำลังโกหกนายหญิงที่รักของเขาอยู่ไคล์มไม่เคยได้รับคำขอบคุณจากประชาชนเลย ในทางตรงกันข้ามถูกตำหนิและบ่นใส่ด้วยซ้ำ ทำไมถึงช่วยแค่พวกเรากันและอื่นๆอีกมากมาย

พวกเขาโกรธที่สูญเสียครอบครัวและความมั่งคั่งไป และก็ต่างร่วมกันกล่าวโทษใส่ไคล์ม

ไคล์มได้ยอมรับความแค้นนี้เพราะไม่มีใครอื่นที่ควรตำหนิเลยและมันก็เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่ได้ปฎิบัติตามคำสั่งของเจ้าหญิงให้สมบูรณ์

ถึงมันจะเป็นคำพูดที่เจ็บมากหลังจากที่เขาได้ต่อสู้กับปีศาจเพื่อช่วยเหลือคนพวกนั้นก็ตาม

ปีศาจที่เขาพบที่คลังสินค้าระดับแตกต่างจากตัวอื่นที่เคยเจอมาอย่างสิ้นเชิง มันคงเป็นเพราะมี  เบรน อัลกราสอยู่ด้วยบวกกับบาดแผลจำนวนมากของมันทำให้เขาได้รับชัยชนะ หากปีศาจที่ปรากฎตัวมานั้นไม่ได้รับบาดเจ็บพวกเขาคงพ่ายแพ้ไปแล้วแน่นอน หลังจากที่ได้ยินจากลัคคูสมาว่าพวกเธอได้จัดการมันก่อนที่มันจะหนีไป เขารู้สึกของคุณเธออย่างเงียบๆที่ทำให้งานของเขาง่ายขึ้นมามาก

หลังจากนั้นเขาจึงขอบคุณที่เป็นเพียงเขาที่ได้รับคำร้องเรียน แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ทิ่มแทงเขาก็ตาม

ในความจริงไคล์มจะทำอะไรกับคนพวกนั้นด้วยความรุนแรงก็ได้ ไม่มีใครทำอะไรเขาได้แน่นอน ถ้าเพียงแต่เขาไม่ได้เป็นตัวแทนขององหญิงในสถานะตัวแทน หากทำเช่นนั้นไปตำแหน่งของเจ้าหญิงเรนเนอร์จะตกอยู่ในอันตราย หากพวกเขาเกลียดชังเจ้าหญิงและทำให้เจ้าหญิงเกิดอันตรายนั่นคือสิ่งที่เขาไม่ต้องการที่สุด

"ตอนนี้ไคล์ม... ดิฉันมีข่าวไม่พึงประสงค์โปรดรับฟังให้ดีนะคะ"

ไคล์มได้หลับตาลงหลายวินาทีก่อนจะลืมขึ้น

"ผู้หญิงที่คุณกับเซบัสซังช่วยไว้ที่ซ่อง....ถูกฆ่าตายแล้วนะคะ

ไม่เข้าใจในสิ่งที่เรนเนอร์พูด ปากของเขาเปิดๆปิดๆออกมาก่อนจะอ้าปากค้างว่าอาจจะเจ้าใจผิดก็ได้

"ได้ไง... อะไรกัน... มันเกิดอะไรขึ้น..."

คิดว่าผู้หญิงคนนั้นควรถูกซ่อนไว้ในห้องและถูกส่งไปพร้อมกับพวกสมบัติเรนเนอร์สิ

"เป็นความผิดของดิฉันเองค่ะ ดิฉันอยากจะจ้างนักผจญภัยมาคุ้มกันเช่นกันแต่เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดถูกว่าจ้างโดยคนอื่นๆแล้ว ดังนั้นดิฉันจึงใช้ทหารรับจ้างแทน..."

เรนเนอร์ส่ายหัวไปมาราวกับมันเป็นความผิดของเธอเพียงผู้เดียว

"มะ-ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนครับ! ไม่ใช่ความผิดของท่านเลย! คนที่ผิดควรจะเป็นพวกที่โจมตีเข้ามาตังหาก!"

"ไม่! หากดิฉันระวังให้มากกว่านี้คิดให้มากกว่านี้... ว่าการรักษาความปลอดภัยในเมืองหลวงนั้นกำลังอ่อนแอฉันไม่น่าปล่อยให้พวกเขาออกไปเผชิญอันตรายแบบนั้นเลย หากไคล์มไปด้วยคงไม่เป็นอย่างนั้น..."

น้ำตาของเรนเนอร์เริ่มไหลออกมา

หน้าอกของไคล์มรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกบดขยี้ บางทีอันอาจจะเป็นความผิดของเรนเนอร์ก็จริงแต่เธอก็ทำได้ดีแล้วในสถานการณ์เลวร้ายแบบนั้น แล้วใครจะมาตำหนิเธอกัน?

"เจ้าหญิงไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะครับ!"

เมื่อได้ยินเสียงประกาศอันทรงพลังของไคล์ม เรนเนอร์ได้เดินเข้าไปหาไคล์มและกอดเขาไว้แน่น

เพื่อทำให้เธอใจเย็นลงไคล์มได้เอามือไปวางข้างหลังเธอไม่แบบนั้นอันตรายไป

"แต่รายละเอียดเป็นยังไงเหรอครับ..."

"ดิฉันก็ไม่รู้อะไรมาก แต่คิดว่าน่าจะเปิดตอนช่วงการป้องกันในเมืองที่อ่อนแอ่และวุ่นวายบางทีพวกมันน่าจะบุกเข้ามาตอนนั้นหรือเปล่านะ? พวกเขาน่าจะถูกโจมตีระหว่างกำลังเดินทาง..."

เขาไม่สามารถออกกฎได้ว่าห้ามใครโจมตีหรือบุกรุกคนที่เขากำลังคุ้มครองขณะกำลังเคลื่อนย้ายไปยังที่ซ่อนได้

"แล้วพบศพที่ไหนครับ?"

"แุถวเขตสลัมนอกเมืองน่ะ รายละเอียดส่วนลึกดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน"

"แล้วทำยังไงกับศพเหรอครับ?"

"พวกเขาฝังเรียบร้อยแล้วค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?"

"ผมอยากจะตรวจสอบบาดแผลดูครับเผื่อผมจะได้เบาะแสอะไร"

"...ไคล์มเท่านี้ก็น่าจะพอแล้วมั้งคะพวกเธอโดนทำร้ายมาเยอะแล้ว อย่างน้อยก็ให้ได้อยู่อย่างสงบเถอะค่ะ"

"...เข้าใจแล้วครับ"

ไคล์มสัมผัสได้ถึงความมีน้ำใจของเรนเนอร์จากก้นบึ้งของใจ แน่นอนว่าคำพูดของเธอช่างเตือนสติเขา เขารู้สึกละอายใจที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองอีก

"กรุณาอย่าทำอะไรให้ยุ่งยากอีกเลย ... อ้า ดูเหมือนว่าตำแหน่งเราตอนนี้สลับกันแล้วนะ"

เรนเนอร์ยิ้มออกมา แม้ว่าดวงตาของเธอจะยังแดงก่ำอยู่แต่ก็ไร้ซึ่งน้ำตาไปแล้ว

"คงจะอย่างงั้นแหละครับ"

ไคล์มได้ยิ้มออกมา

"ขอโทษที่รั้งตัวคุณไว้นะคะ จากนี้ก็พยาเข้านะคะไคล์ม"

แม้จะเขาจะรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกแปลกๆแต่ก็รู้สึกอบอุ่นที่ออกมา คำและสั่งนั้นก็ทำให้ไคล์มก้าวต่อไป












เดือน 9 วันที่ 10 เวลา 09:08

วันนี้ช่างเหมาะกับการเดินทาง ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆ

ผ้าคลุมสีแดงปริวไสวอยู่ข้างหลังของชายสวมเกราะสีดำ อีวิลอายได้ถามเขาขึ้นมา

"คุณจะกลับแล้วเหรอคะ?"

มันเป็นคำถามที่แปลกแต่อีวิลอายจะเอ่ยมาจากความรู้สึก นักผจญภัยไม่มีรากฐานแน่ชัด แต่นักผจญภัยบางกลุ่มก็ลงหลักปักฐานลงเมืองจำนวนมากบลูโรสก็เช่นกัน สำหรับโมม่อนก็มีฐานที่มั่นของเขาเป็นเมือง อีแรนเทล

"ฉัน คือฉันหมายถึงยังมีคนอีกมากที่อยากไปกับคุณ..."

อีวิลอายไม่อาจะเชื่อตัวเองได้ว่าเธอจะทำแบบนี้ และหัวเราะออกมาแหย่ๆ สะท้อนให้เห็นเหมือนกับว่าเธอเป็นเด็กนักเรียนที่เป็นไข้ใจอยู่ เพียงแค่โดน คำว่า "รัก" เข้าไปก็ทำให้เธอกระวนกระวายได้แล้ว

"...ไม่ต้องห่วงเกี่ยวกับเรื่องนั้น"

นั่นคือคำตอบของเขา

ช่างเท่เสียเหลือเกิน อีวิลอายคิด

ไม่มีอะไรที่จะพูดอีกแล้ว สายลมเย็นได้พัดผ่านทั้งสองไป

ชายคนนั้นยังคงยืนอยู่โดยไม่พูดอะไร

อีวิลอายรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่การอำลากันระหว่างชายหญิงเลย แต่พวกเขาก็ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ ด้านหลังของโมม่อนก็ยังมีนาเบะ และด้านหลังอีวิลอายก็มีสมาชิกของบลูโรสอยู่ และ ผู้ใช้เวทย์ที่กำลังจะส่งโมม่อนกลับไปยังอีแรนเทล

"คุณทำได้ดีมากเลยครับ"

โมม่อนพยักหน้าตอบสนองคำขอบคุณของรีเว่น

"พระองค์ทรงอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อท่าน แต่..."

หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย โมม่อนได้กลายเป็นชื่อที่ถูกพูดกันทั่วเมือง หลังจากที่ทุกคนได้รู้ว่า เขาได้ไปท้ายทายจอมปีศาจจัลดาเบาท์เพียงลำพังและจัดการมันลงได้ เป็นธรรมดาที่กษัตริย์จะต้องแสดงความขอบคุณต่อเขา หากเป็นไปได้ดี เขาอาจจะได้ยศเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามโมม่อนได้ปฎิเสธข้อเสนอที่ผ่านมาและปฎิเสธที่จะพบ

มีบางอย่างไม่ถูกต้อง

เหล่าขุนนางที่่มีชื่อเสียงได้ประนามพฤติกรรมที่หยื่งของคนนิรนามที่ปฎิเสธกษัตริย์ที่มีตำแหน่งสูงกว่าตัวเอง

เสียงกระซิบเกี่ยวกับราชาเริ่มไหลผ่านโมม่อน

นอกจากเรื่องนี้ยังมีคนกล่าวว่าเกี่ยวกับนักผจญภัยคนนี้อย่างอื่นด้วย

พวกขุนนางยังกล่าวว่าโมม่อนได้ทำผิดพลาดที่ไม่ฆ่าจัลดาบัลแต่กลับปล่อยมันหนีไปแทน แต่เนื่องจากโมม่อนมีรีเว่นคอยหนุนหลังอยู่ พวกเขาจึงพยายามสงบปากสงบคำไว้

"โมม่อน-ซังกำลังอยู่ในการจ้างของฉันที่พวกคุณกำลังว่าร้ายเขา แปลว่าคุณกำลังว่าร้ายฉันเช่นกัน" รีเว่นได้กล่าวแบบนั้นออกไปด้วยโทนเสียงที่อันตราย

จากนั้นโมม่อนก็กล่าวเสริมขึ้นมา "ผมได้ยอมรับภารกิจนี้ในฐานะนักผจญภัยและทำมันเสร็จสิ้นแล้ว หากจะให้มีความเท่าเทียมจากผลงานทุกคนที่เข้าต่อสู้ก็ควรได้รางวัลนี้จากราชาเช่นกัน"
ทำให้พวกขุนนางนั้นเงียบลงไป

แต่เปลวไฟก็ยังไม่เคยดับบางคนก็ยังคงส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โมม่อนเหมือนการดูถูกอยู่ดี

อีวิลอายได้นึกถึงสิ่งที่ลัคคูสที่เป็นขุนนางพูดกับเธอ

ถ้าหากปราศจากโมม่อนสถานการณ์ในเมืองหลวงคงไม่ได้รับการแก้ไขและมันคงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการความเสียหายได้เลย แต่คนที่มาเจอโมม่อนตอนนี้มีเพียงสมาชิกบลูโรส และ   มาร์ควิน รีเว่น เพราะตำแหน่งโมม่อนตอนนี้มันอยู่ในจุดที่น่าลำบาก

เหตุการณ์ในครั้งนี้ผู้คนได้ยกย่อง นักผจญภัย พระราชา เจ้าชายทั้งสองและมาร์ควิน รีเว่น นั่นหมายความว่าประชาชนยังมองขุนนางในแง่ไม่ค่อยดี

มันแน่นอนอยู่แล้วว่าขุนนางยอมมีความแตกต่างกัน ในเมืองอยู่ภายใต้อำนาจของพระราชาและผู้ปกครองที่ดินตัวเองมันทำให้ความรู้สึกพวกเขาควรจะส่งทหารมาปกป้องเมืองสิ แต่ในความจริงหากคิดดูแล้วคนพวกนั้นถ้าเขาโดนโจมตีที่ดินของตัวเองพวกเขาก็ต้องเลือกที่จะเอาคนมาเฝ้าปกป้องทรัพสินของตวเองแทนแน่นอน

ช่วงเหตุการณ์ในตอนนี้ก็เกิดเหตุการณ์ที่ฝ่ายขุนนางสนับสนุนการออกไปรบของราชา ในขณะที่อีกฝ่ายยันยืนยันว่าควรจะอยู่ในที่ๆปลอดภัยและไม่ควรไปอยู่แนวหน้าเช่นนั้น การต่อสู้แย่งชิงอำนาจของทั้งสองฝ่ายทวีความรุนแรงมากขึ้น

และก็มีเสียงภายในเมืองหลวงส่วนใหญ่ที่กล่าวออกมาเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้
"ทำไมไอพวกขุนนางถึงได้เห็นแก่ตัวเองและไม่ออกมาช่วยพวกเราเลย?"

คนที่ได้เข้าต่อสู้นั้นย่อมเข้าใจเรื่องนี้อยู่แล้วและความไม่พอใจขุนนางก็สะสมขึ้นมาเรื่อยๆ จนมันกลายเป็นวัฎจักรวนเวียนกันไปมาเช่นนี้ไม่รู้จบ

"สุดท้ายพวกเขาก็ถูกจ้างให้แค่สู้จนกว่าจะตาย" และมีมันคงเป็นเช่นนั้นต่อไป

ในเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้โมม่อนถูกยอมรับในราชอาณาจักรว่าเป็นนักผจญภัยระดับอดาแมนไทน์ที่สุดยอด เป็นผลทำให้พวกขุนนางไม่ค่อยจะข้องแวะอะไรกับเขา และถึงมีก็หวังเพียงใช้ประโยชน์จากเขาในการชิงอำนาจ

เหตุผลเดียวที่รีเว่นสามารถอยู่ที่นี่ได้เป็นเพราะเขามีแบ็คหลังอยู่เยอะเหมือนค้างคาว

"นี่คือหนังสือคือขอบคุณของพระราชา เจ้าชายอันดับสอง และเจ้าหญิงอันดับสาม ส่วนนี่คือโล่ประกาศที่ให้คุณได้รับการยกเว้นภาษีทั่วแผ่นดินของราชอาณาจักร และก็ดาบสั้นของพระราชา โปรดรับเอาไว้ด้วยครับ"

ขุนนางเช่นลัคคูสไม่สามารถทำอะไรได้และถอยหายใจ อีวิลอายก็เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร

การได้รับรางวัลเป็นดาบสั้นจากราชานั้นมีความหมายเหมือนได้รับเหรียญอัศวินหรือถูกแต่งตั้งเป็นขุนนาง อำนาจของมันสามารถทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมามากมายหากพวกขุนนางรู้ ดังนั้นเธอสามารถพูดได้เลยว่าการกระทำของราชานั้นถือเป็นการกระทำดียอดเยี่ยมแล้ว

และตอนนี้ฉันก็คิดแล้วว่าคงไม่มีใครสามารถมาขวางเขาได้อีกแล้ว

โมม่อนรับดาบสั้นมาแบบไม่ค่อยพอใจและมอบให้นาเบะที่อยู่ข้างหลังเขา

"ถึงแม้การสรรเสริญจะพอแล้ว แต่พวกขุนนางไม่คิดจะบอกอะไรเกี่ยวกับดาบนั้นกับเขาเลยหรือ?" อีวิลอายกล่าวอย่างเงียบๆ

จากมุมมองของพวกขุนนางหากคนมีความสามารถขนาดนั้นเข้ามามีอำนาจในสภาย่อมไม่ใช่เรื่องตลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักรบที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่ากาเซฟสโตรนอฟเข้าร่วมกับฝ่ายของราชาดังนั้นหากราชาตัดสินใจจะมอบรางวัลนี้ให้กับโมม่อนพวกขุนนางต้องวิจารในเรื่องนี้แน่ว่ามันมากเกินไปสำหรับการสรรเสริญ

พวกขุนนางไม่ยอมแน่นอน

อีวิลอายรำพึงออกมา แต่ก็ถูกขัดโดยคนที่อยู่ข้างๆเธอ

"...เธอมันไร้เดียงสาเกินไปแล้ว อีวิลอาย"

"ฝ่ายราชาได้ก้าวนำไปแล้วหนึ่งขั้น"

"ทำไมล่ะ?"

"...เพราะดาบสั้นนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับกันเฉพาะหมู่ขุนนางและอัศวิน"

"ในอนาคตหากเราต้องการกำลังของโมม่อนซัง พวกเขาก็จะสามารถใช้ดาบนั้นเพื่อเป็นการปิดปากพวกขุนนางให้เงียบ เธอก็รู้ใช่ไหมว่าไม่เคยมีคนธรรมดาทั่วไปเลยได้ดาบ? ตำแหน่งขุนนางนั้นรอท่านอยู่อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่พวกเขาจะบอกโดยนัย"

"งั้นเหรอ... เธอนี่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้จังเลยนะ"

"แน่นอนอยู่แล้ว."

"อย่ามาดูถูกนักฆ่อย่ามาดูถูกนินจาให้มากสิ"

"ถ้าอย่างงั้นเราจะไปกันได้หรือยังครับ มาร์ควิส รีเว่น ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ"

"ด้วยความยินดีครับ ผมหวังว่าเราคงได้สานสัมพันกันต่อไปในอนาคตนะครับ"

"ผมก็คิดเช่นนั้นครับ และก็บลูโรสที่เป็นระดับอดาแมนไทน์เหมือนกันผมหวังว่าเราจะยังติดต่อกันเหมือนเดิมนะครับ หากเกิดอะไรขึ้นก็สามารถเรียกผมได้ทันที"

"พวกเราก็อย่างจะพูดแบบนั้นเหมือนกันค่ะโมม่อนซัง หลังจากที่ได้เห็นพลังของคุณพวกเราเกือบรู้สึกละอายใจที่เรียกตัวเองว่านักผจญภัยระดับอดาแมนไทน์จริงๆ แต่เราก็จะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อให้ไปถึงระดับคุณค่ะ แล้วจะรอเวลาที่เราได้ร่วมงานกันอีกครั้งนะคะ"

ลัคคูสและโมม่อนได้พยักหน้าให้กัน

และอีวิลอายก็รู้สึกได้ถึงสายตาของโมม่อนที่มองเธอเปลี่ยนไปไม่ผิดแน่นอนหลักฐานคือโมม่อนมองเธอเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างที่ก็หยุดลงไปจากนั้นก็พยายามจะพูดใหม่แล้วก็หยุดไปอีก

อีวิลอายรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอกำลังจะพองขึ้นมาทะลุหน้าอกอยู่แล้ว

หากโมม่อนขอให้เธอเข้าไปอยู่ในกลุ่มด้วย อีวิลอายก็จะขอยอมรับุคงแม้มันจะเป็นการทรยศกับเพื่อนคนสนิทของเธอ  แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังอยากจะตามหัวใจของตัวเองไป

ราวกับว่ายังสับสนโมม่อนยังคงพยายามจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็หยุดไปมา จนในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะหมุนผ้าคลุมสีแดงและเคลื่อนไหวออกไป

แผ่นหลังของเขาค่อยๆถอยห่างออกไป จากนั้นกากาแรนก็เริ่มล้ออีวิลอาย

"เธอถูกทิ้งแล้ววววว"

"ไม่ใช่นะ เขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้นซักหน่อย"

โมม่อนได้นั่งลงไปยังFloating Board] ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเวทมนต์ของรีเว่น ก่อนที่จะลอยขึ้นแต่อีวิลอายก็ไม่ได้ละสายตาจากเขาไปเลย

"ฉันสงสัยจริงๆว่าเราจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่?"

"ถ้ามันเป็นภารกิจที่เรียบง่ายและไม่ถูกรบกวนเหมือนครั้งนี้คงจะดี"

"นั่นคงยาก"

"ใช่เลย"

สมาชิกบลูโรสต่างรู้กันว่า

หากเป็นงานที่นักผจญภัยระดับอดาแมนไทน์ต้องมารวมตัวกันไม่มีวันเป็นเรื่องเล็กๆอยู่แล้ว

"ก็แบบถ้าเป็นการประชุมปกติก็ได้ใช่ไหมล่ะ? ฉันรู้จักเวทย์ [Teleportation] ที่จะทำให้เราไปถึงอีแรนเทลได้เลยนะ ไม่ดีหรอแถมยังได้เจอกับโมม่อนด้วยยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะ? แถมได้รับการคุ้มครองจากเขาอีกไม่ต้องกังวลเวลาไปไหนมาไหนในเมืองด้วย"

อีวิลอายพูดขึ้นมาด้วยความตกใจพร้อมกับจ้องไปทีกากาแรน แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากอยู่แต่การแสดงออกที่น่าขันนี้ก็ถูกส่องผ่านออกมา

"เฮ้ เธอก็รู้หนิว่าระยะทางจะทำให้ความสัมพันมันจบลงได้........หรือว่าพวกเธอยังไม่ได้คบกันเลย?"

กากาแรนได้มองขึ้นไปบนฟ้าเหมือนอีวิลอายจะจ้องไปยังสรวงสวรรค์ แต่สายตาของเธอนั้นกลับฉายภาพของโมม่อนออกมา

"อุว๊าาาาา!"

อีวิลอายครางออกมาอย่างสิ้นหวังเหมือนจะร้องไห้และเพื่อนบลูโรสของเธอก็ต่างยืนหัวเราะรอบๆตัวเธอ


เดือน 9 วันที่ 10 เวลา 18:45

การกระชุมฉุกเฉินของกลุ่ม [Eight Fingers] ได้เริ่มต้นขึ้น แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ที่นี่ คนหนึ่งที่หายไปนั่นก็คือ ค็อกโค ดอล, แต่ทุกคนรู้ดีว่าเขาถูกจับไปแล้วจึงไม่มีอะไร.ส่วนปัญหาตอนนี้ก็คือคนที่หายไปอีกคนคือ ซีโร่

ทุกคนรู้ดีว่าเขาไม่ได้ทรยศแน่นอนแต่นั่นแหละคือปัญหา

จากข้อมูลที่พวกเขาได้รับซีโร่ได้รับการยืนยันว่าถูกฆ่าตายไปแล้ว ในวันเดียวกันกับที่เขาถูกส่งไปปฎิบัติภารกิจ "ฆ่ามันทุกคนที่บังอาจมาหยามเรา" แล้วก็หายไปเลย

เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่แม้ว่าผู้บัญชาการของเขาจะพอรับได้แต่การตายของซีโร่ ผู้เป็นกำลังสำคัญของ [Eight Fingers] และเป็นผู้คุ้มกันพวกเขานั้นหายไปย่อมเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องสนใจ

ทุกฝ่ายก็ต่างแก่งแย่งแข่งขันกันแต่ถึงยังไงพวกเขาก็ยังเป็นองค์กรเดียวกัน การสุญเสียครั้งนี้จึงมีผลต่อพวกเขาทั้งหมด

ได้มีการลุกขึ้นอภิปรายในหมู่พวกเขา

เขาควรจะทำอย่างไรกับช่องว่างของซีโร่ที่ตายไป? แล้วก็ค็อกโค ดอลล่ะ?

ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้พวกเขาอาจจะแนะนำคนๆหนึ่งไปแทนทีได้แต่ก็มีเหตุผลที่พวกเขาไม่ทำเช่นนั้น

นั่นเป็นเพราะการโจมตีจากปีศาจที่เข้ามาในเมืองหลวง ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ออกมาสวยนัก ที่ต่างๆของพวกเขาในเมืองถูกโจมตีในวันเดียวกันสูญเสียคนไปมาก และมันก็เป็นฝันร้ายโดยอย่างยิ่งกับหัวหน้ากองลักลอบขนสินค้า

มีหลายคลังสินค้าของพวกเขาถูกปล้นและหลังจากตรวจสอบสินค้าต้องห้ามมากกว่าครึ่งของพวกเขาได้หายไป

"ในกรณีนี้ยังไงพวกเราก็ต้องร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูสถานกาณ์นี้"

"เราพวกเราไม่ได้ทำอย่างงั้นกันอยู่เหรอ?"

"เลิกพูดเรื่องไร้สาระกันได้แล้ว ตอนนี้ฉันคิดว่าเราควรจะร่วมมือกัน แล้วเปลี่ยนเส้นทางงานของพวกเราออกจากเมืองหลวง ว่าไง?"

"ไม่ ในทางตรงกันข้ามฉันเห็นว่าตอนนี้มันถึงเวลาที่เราจะลุยในเมืองหลวงกันต่อ แล้วหาหัวหน้าทีมคนใหม่ที่จะมาป้องกันกระเป๋าตังของเรา ถ้าเราหนีไปมันก็เหมือนกับเรายอมแพ้ที่จะทำกำไรในเมืองหลวงน่ะสิ"

"หืม เรื่องนั้นฉันก็เห็นด้วยอยู่หรอกแต่ด้วยความสามารถในหน่วยรักษาความปลอดภัยมันจะแข็งแกร่งพอจะป้องกันอันตรายที่เข้ามาจากเมืองหลวงได้เหรอ?"

"ฮิลม่า เธอคิดว่าไง?"

ร่างกายของผู้หญิงคนนั้นสั่นขึ้นมา

เป็นอาการที่เธอไม่เคยแสดงออกมาในการประชุมนี้เลย

วงกลมสีดำใต้ตาของเธอไม่สามารถถูกซ่อนได้ด้วยเครื่องแต่งหน้าได้และอากาศที่ไหลเวียนรอบๆตัวเธอก็ราวกับคนตาย

"มีอะไรงั้นเหรอ? ฉันได้ยินมาว่าคฤหาสน์ของเธอก็ถูกโจมตีเหมือนกัน... แต่เธอก็หนีไปทางอุโมงค์หลบนี้ได้แล้วใช่ไหมล่ะ? มีอะไรทำให้เธอกลัวงั้นเหรอ?"

หัวหน้าส่วนอื่นๆมีลูกน้องคอยติดตามอยู่ด้านหลังแต่ฮิลมานั้นกลับไม่มีใครอยู่เลย

"..."

"แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกัน?"

ก่อนที่ฮิลม่ากำลังจะพูดขึ้นมาก็ได้มีเสียงเปิดประตูออกมาเสียก่อน

"เอาล่ะ! แค่นั้นพอแล้ว!"

เป็นเสียงหน้ารักของดาร์คเอลฟ์เด็กผู้ชายเข้ามาในห้องและตามมาด้วยดาร์คเอลฟ์เด็กผู้หญิง,

ทุกๆคนถึงกับตกตะลึง
ถ้าพวกที่เข้ามาเป็นผู้ใหญ่บางทีเขาอาจจะมีท่าทางต่างจากนี้ แต่ในสายตาของพวกเขาทั้งคู่ยังเป็นเด็กและเข้ามาในที่แบบนี้ แต่เหล่าผู้นำก็ยังคิดว่าพวกเขานั้นเป็นศัตรูแน่นอน

"เอาละ พวกเจ้าทุกคนจากนี้จะกลายเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา~"

ท่ามกลางความเงียบนั้นพวกเขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ดาร์คเอลฟ์พูดเลยเด็กคนนั้นจึงพูดซ้ำอีกครั้ง

"เหล่าเพื่อนที่น่านับถือทั้งหลายของฉันได้ข้อสรุปมาว่าการจะควบคุมประเทศนี้ให้มีประสิทธิภาพขอเพียงแค่เราควบคุมทุกท่านได้ก็เพียงพอมากแล้ว ดังนั้นเราจะยกโทษให้กับบาปของพวกคุณและก็ขอให้ช่วยมาเป็นข้ารับใช้ของพวกเราด้วย... หืมหรือว่าทาส? หุ่น? หรือแล้วแต่จะเรียกละกัน? ฉะนั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วย!"

ดาร์คเอลฟ์ได้เริ่มปรบมือของเขาก่อนที่น้องสาวของเขาจะเริ่มปรบมือตามเป็นอย่างดี

"ยะ-ยินดี—"

"—เธอพูดบ้าอะไรกันเนี่ย?!"

พวกผู้นำยังคงคิดอยู่ว่าพวกเขาคือศัตรูหรือมิตร มันยังเร็วเกินไปหากจะสรุปพวกเขาว่าเป็นศัตรู แต่ชีวิตในนรกแห่งนี้ได้สอนพวกเขาว่าต้องคิดให้มากเพื่อจะได้มองออกถึงความปลอดภัยของตนเองและกังวลเกี่ยวกับศัตรูที่จะมาฆ่าพวกเขาภายหลังด้วย

พวกเขาไม่เข้าใจความตั้งใจของดาร์คเอลฟ์พวกนี้เลย แต่ในมุมมองอื่นถ้าบุกเข้ามาในการประชุมแบบนี้นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องสามารถฆ่าทุกคนในนี้ได้แน่ แล้วอาจจะมีกรณีที่บอดิการ์ดที่ดีที่สุดของพวกเขายังเอาชนะพวกเธอไม่ได้ และอาจจะมีโอกาสที่พวกเธอนั้นโง่มากๆเลยบุกเข้ามาก็เป็นได้ แต่เพื่อความสูญเสียที่น้อยที่สุดดูเหมือนว่าการหลบหนีไปจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในกรณีนี้

เหล่าสมาชิกทั้งหลายต่างใช้บอดิการ์ดของตัวเองเป็นโล่อย่างไม่ลังเลและทึกคนก็คิดเหมือนกันว่าจะต้องออกไปจากที่นี่แล้ว

แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

สิ่งแรงที่พวกเขาตระหนักได้คือกายที่พวกเขาขยับไม่ได้เลย

"ห๊ะ? อ่ะ? อ๊าคคคคคค?!"

ร่างกายของพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนๆไหวได้เลยแม้จะกระน้ำลายของพวกเขาก็ยังไม่สามารถไหลไปมาจากปากได้

เด็กผู้ชายพ่นลมหายใจแล้วหัวเราะออกมา

"จากนี้พวกเราจะพาทุกคนไปยังสถานที่ที่มีแต่ความสุขเอง~"

"ค-ครับ. ชะ-เชิญตามมาได้เลย"

ฮิลมาเริ่มมีอาการสั่นอย่างรุนแรง

"ดะ-เดี๋ยว! ฉันไม่ต้องไปใช่ไหม?ก็ฉันช่วยพวกเธอไปแล้วหนิ?!"

ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าใครคือคนทรยศและพยายามเหล่ตามองไปที่ผู้หญิงคนนั้น

"ได้โปรด! ฉันขอร้อง! ฉันทนมันไม่ไหวแล้ว! ฉันทนมันไม่ได้อีกแล้ว!"

"หืมมม~ เธอกำลังพูดถึงอะไรอยู่เหรอ?"

"ผะ-ผมคิดว่าเธอน่าจะหมายถึงตอนที่ถูกพาไปห้องของเคียวฮุโควที่อวัยวะของเธอถูกกินไปเรื่อยจากด้านในก็ได้นะครับ"

แล้วใบหน้าของดาร์คเอลฟ์ก็บิดไปมา ~ เหมือนเป็นการแสดงออก

ฮิลมาจำมันได้เป็นอย่างดี เธอกอดตัวเองไว้แน่นมือทั้งสองข้างกำร่างกายที่สั่นของเธอเอาไว้ มือข้างหนึ่งปิดปากเอาไว้ในขณะที่น้ำตาไหลออกมาจากตา จากสีหน้าของเธอเหมือนคนกำลังจะอาเจียน

"ละ-แล้วก็—"

"หยุดได้แล้ว เราก็ฟื้นฟูบาดแผลเธอด้วยเวทมนต์ไปแล้วหนิ ดังนั้นเธอต้องทำตัวเป็นเด็กดีไว้สิไม่งั้นมันคงยากนะที่เราจะไม่ฆ่าเธอ..."

"อื้ม อื้ม ตอนนี้ศพก็มีมากพอแล้วและเราก็ยังคงต้องให้เธอทำงานเพื่อองค์กรต่อไป."

"นั่นสินะ  ถ้างั้นขอให้โชคดีนะ คุณป้า~ถ้าหากคุณยังทรยศเราอีกเราจะจับคุณเข้าไปที่           [Black Capsule]นะ~"

"อีย์!"

ฮิลม่าพยักหน้าอย่างจริงจังขณะที่สีหนาของเธอยังเขียวอยู่ นั่นคือลักษณะของคนที่ไร้ทางต่อต้านและพร้อมจะปฎิบัติตามคำสั่งโดยไม่ลังเล

"เอาเถอะจนกว่าเราจะรู้ว่าพวกนี้มันใช้การได้ยังไงก็ขอฝากพวกมันไว้กับเธอก่อน ได้ใช่ไหม?"

"ขะ-เข้าใจแล้ว! ให้เป็นหน้าที่ฉันเอง! เราใช้ประโยชน์จากพวกมันได้แน่นอน!"

ฮิลม่านั้นทำท่าทางหมดหวังและน่าสงสารออกมาเหล่าชายพวกนั้นคิดเลยว่าพวกเขาต้องได้มีประสบการณ์เหมือนกับเธอในอนาคตแน่นอนและทำหน้าซีด

"จากนี้ฉันก็ยกพวกผู้ชายให้เธอหมดแล้ว ใช้การพวกมันให้ดีๆล่ะ มีไม่กี่อย่างหรอกนะที่เธอทำให้เพื่อความอยู่รอด ส่วนรายละเอียดอย่างอื่นฉันจะมาบอกทีหลัง

ดาร์คเอลฟ์เด็กผู้ชายได้ยิ้มออกมา

"งั้นตอนนี้พวกเราก็ได้ทำการยึดประเทศมาได้ครึ่งหนึ่งแล้วสิ แต่... เดมิเอิร์จพูดเกี่ยวกับการหว่านเมล็ดในราชอาณาจักรแห่งนี้... อ่า ช่างมันละกัน เอาไว้ค่อยไปคิดอีกที!"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น