Overlord Vol.6 Ch.11 P.1 ครึ่งแรก
Overlord Vol.6 Ch.11 P.1
การต่อสู้ครั้งสุดท้าย
พาท 1
เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่นั้นไม่มีความร้อนเลยสักนิดมันเป็นเหมือนกับ ภาพลวงตา นักพจญภัยที่ยืนอยู่ต่างมองไปยังปาร์ตี้ของตนและรวบรวมความกล้าก่อนจะก้าว ข้ามผ่านมันไป
ถึงแม้พวกเขาจะได้รับการร่ายเวทย์ป้องกันไฟมาแล้วแต่ว่าพวกเขาก็ยังกลัวที่จะถูกไฟลวกอยู่ดี
... ถึงจะบอกว่ามันไม่มีอันตรายก็เถอะ
ความคิดที่ให้ข้ามกำแพงเพลิงนั้นเป็นของลัคคัส ( Lakyus ) เธอเฝ้าดูอาการของพวกที่ข้ามมันจากแนวหลัง
ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเปลวไฟนั้นไม่มีอันตราย ถ้ามันไม่ได้มีไว้เพื่อทำอันตรายละก็มันก็มีไว้เพื่อการอื่น แต่มันคืออะไรละ ? เหตุผลที่จัลดาเบาธ์ ( Jaldabaoth ) ร่ายมันขึ้นมา หากรู้ถึงเหตุผลนั้นแล้วละก็ปริศนาทั้งหมดก็จะกระจ่าง
กำแพงเพลิงที่เป็นเหมือนกับภาพลวงตานั้นไม่มีการต่อต้านหรือทำอันตรายกับผู้ที่สัมผัสมัน
ลัคคัสมองไปยังนักพจญภัยที่มีสีหน้าที่เป็นกังวล
แผนการนี้ถูกเรียกว่าดีเฟนส์ ไลน์ ( Defensive Line ผู้แปล / ขอทับศัพนะมันฟังดูเท่กว่าแนวป้องกันอ่ะ ) แต่การจะจัดรูปขบวนให้จำกัดอยู่แค่ใจกลางเมืองนั้นเป็นไปได้ยากมาก ดังนั้นเราจึงให้นักพจญภัยระดับโอริฮารูคอน 4 ปาร์ตี้เป็นศูนย์กลางของแผนโดยให้วางคนที่มีความสามารถไว้ด้านบนเพื่อมองหา ศัตรู
ปกติแล้วนักพจญภัยระดับโอริฮารูคอนจะเป็นผู้นำแต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้น พวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ลัคคัสได้แต่ภาวนาว่าพวกเขาจะสามารถรวบรวมความกล้าและเอาชนะความกลัวนี้ได้
ชั้นควรจะไปบัญชาการเองรึเปล่านะ ?
ถ้านักพจญภัยระดับอดามันไทท์อย่างเธอไปเป็นผู้นำเองละก็กำลังใจของพวกเขาจะ ต้องเพิ่มขึ้นแน่แต่ตอนนี้เธอไม่มีใครที่พอจะไว้ใจให้ออกคำสั่งแท้เธอได้เลย ถึงเธอจะเป็นนักพจญภัยระดับอดามันไทท์แต่เธอเพียงคนเดียวก็ไม่อาจต่อกรกับ ปาร์ตี้ของนักพจญภัยระดับโอริฮารูคอนทั้งปาร์ตี้ได้ ดังนั้นเธอแค่คอยออกคำสั่งอยู่แนวหลังก็คงพอ
ถึงจะเอะอะกันบ้างที่ผู้นำออกมายังแนวหน้า แต่ ... อ่าห์ ชั้นคงต้องออกไปดูสถานการณ์ภายนอกสักหน่อย
จากนั้นเธอก็ก้าวข้ามกำแพงเพลิงไป
เบื้องหน้าความเงียบเข้าปกคลุมเมืองทั้งเมืองราวกับเมืองร้างที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
“ กะ เกิดอะไรขึ้นกับบ้านพวกนั้น ? ประชาชนหายไปไหน ? พวกเขาซ่อนตัวอยู่งั้นหรอ ? ชะ ชั้นไม่เห็นได้กลิ่นเลือดเลย “
“ ไม่น่าใช่ , ดูสิ , ประตูถูกพังลง ข้าว่าพวกเขาอาจจะถูกลักพาตัวไปที่ไหนสักแห่ง “
“ แล้วจะเอายังไง ? ถ้าต้องหาทุกซอกทุกมุมก็ไม่ไหวนะมันใช้เวลานานเกินไป แถวอาจจะมีปีศาจดักซุ่มโจมตีพวกเราอยู่ด้วยก็ได้ “
“ ถ้างั้นเราติดต่อไปหาลัคคัสซังแล้วขอคำแนะนำจากเธอดีมั้ย ? “
“ ก็ดี , ถ้างั้น ไปกันเถอะ— “
“ ไม่จำเป็น “
เสียงที่ดังขึ้นทำให้นักพจญภัยทั้งหมดหันไปมอง พวกเขามองไปยังลัคคัสด้วยแววตาที่ตกใจ
“ นักพจญภัยระดับเหล็กและทองแดงไปสำรวจภายในบ้านส่วนนักพจญภัยระดับมิธธิลตาม ไปคุ้มกัน ที่เหลือกระจายตัวออกไปสำรวจบริเวณใกล้ๆ มีใครคัดค้านมั้ย ? “
พวกเขาส่ายหน้าไม่พูดอะไร
“ ถ้างั้นก็เริ่มได้ “
ลัคคัสเดินไปพร้อมกับปาร์ตี้ของนักพจญภัยระดับโอริฮารูคอน ความเงียบที่ปกคลุมพวกเขานั้นเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อเพราะเมื่อเย็นนี้ยัง มีเสียงต่างๆมากมายทั้งพ่อค้าและชาวเมืองที่กำลังจับจ่ายใช้สอยแต่ตอนนี้ ...
“ จะว่าไปโมมอนซังเป็นยังไงบ้าง ? “
ลัคคัสเข้าใจความกระวนกระวายนี้ทั้งเธอและพวกเขาต่างก็คาดหวังในตัวโมมอน
“ เขาสบายดี ขนาดอีวิลอายเองยังยอมรับในตัวเขาเลย แต่ปัญหาคือคนที่จะสู้กับเขาต่างหาก , ผู้นำของศัตรูจัลดาเบาธ์เขาแข็งแกร่งขนาดไหน ? แต่ยังไงก็เถอะ ... “
นักพจญภัยรอบๆเธอเมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็ตกอยู่ในภาวะสิ้นหวัง
“ อ่าห์ , ขอโทษ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ยังไงพวกเราแค่ทำในสิ่งที่ทำได้ก็พอ “
“ นั่นสินะ ถึงจะอิจฉาแต่พวกเราก็ได้งานที่เหมาะที่สุดแล้ว ถ้างั้นพวกเรา ... ไปกันเลย! “
ลัคคัสและกลุ่มนักพจญภัยระดับโอริฮารูคอนก้าวไปพร้อมๆกัน
ในมือของเธอถือดาบปีศาจคิลิเนรัม ( Demonic Sword Kilineyram ) พื้นผิวของมันเต็มไปด้วยดวงดาวดังท้องฟ้ายามราตรี
พวกเขาเดินไปได้ไม่นานก็มีเสียงดังมาจากด้านหน้า เสียงที่ดังกังวานนั้นทำเอานักพจญภัยระดับต่ำถึงกับตัวสั่นส่วนนักพจญภัย ระดับกลางนั้นเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้มีเพียงพวกระดับสูงเท่านั้นที่มอง สำรวจรอบๆ ท่ามกลางปฏิกิริยาต่างๆลัคคัสมองไปยังปลายทางของเสียงเบื้องหน้า
“ ดูเหมือนปาร์ตี้ที่อยู่ทางนั้นจะเริ่มการต่อสู้แล้ว “
อาจจะเป็นกลุ่มของทีน่า
“ ถ้าพวกเรายังไปต่อแบบนี้จะต้องเจอกับศัตรูดักอยู่แน่ “
“ ... แล้วเราจะทำยังไงกับพวกที่บินได้ละ ? “
“ เรามีหน่วยสเกาท์ ( Scout ) อยู่ ยังไม่มีรายงานว่าเจอพวกที่บินได้นะ “
“ ดีเลย ถ้าเกิดมีปีศาจที่บินได้แล้วมันหลุดเข้าไปในตัวเมืองละก็แย่แน่ ดังนั้นพวกเราจะต้องดึงความสนใจของพวกมันมาที่พื้นที่ที่พวกเราอยู่ “
“ ถึงอย่างนั้นแผนหลักของเราก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง “
“ ถูกต้อง ... หืมม นั่นอะไร ? ได้ยินอะไรมั้ย ? “
“ อ้า ชั้นก็ได้ยิน เสียงมันเหมือนหมาเห่า , เฮ้ นะ นะ นั่น! “
“ ชั้นก็ไม่แน่ใจนะ แต่คิดว่าน่าจะเป็นเฮลเฮานด์ ( Hellhound หมานรก / ผู้แปล นึกชื่อไม่ออกเซอร์เบอร์รัสใช่ป่าวหว่า ) ความสามารถของมันคือลมหายใจที่ร้อนแรง ระวังให้ดี คิดว่าระดับของมันคงประมาณ 15 หรือมากกว่านั้น “
“ ระดับความยากอย่างนั้นหรอ ... อืมมจะว่าไปจัลดาเบาธ์กับอินเซคท์เมด ( Insect Maid ) อยู่ระดับเท่าไหร่ ? “
ลัคคัสไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไร ถ้าตอบแบบตรงไปตรงมาผู้คนส่วนใหญ่จะต้องถอนตัวแน่ แต่ถ้าพวกเขาต่อสู้โดยที่ไม่รู้ความจริงละก็จะต้องเกิดหายนะแน่
“ ... 150 “
“ เอ๋ ? “
ทุกๆคนที่ได้ยินต่างร้องเป็นเสียงเดียว
“ ระดับความยากของอินเซคท์เมดอยู่ที่ 150 หรือมากกว่านั้น ส่วนจัลดาเบาธ์คิดว่ามากกว่า 200 “
“ หาห์ ?! “
ผู้คนรอบๆลัคคัสต่างเงียบสนิท มันเกินกว่าที่พวกเขาคาดไว้มากแม้แต่นักพจญภัยระดับโอริฮารูคอนที่เก่งกาจ ยังมีระดับอยู่ที่ 80 เท่านั้น แต่กระนั้น—
“ ดะ เดี๋ยวนะ! เธอกำลังจะบอกว่าโมมอนซังกำลังจะสู้กับปีศาจที่มีความยากมากกว่า 200 ด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรอ ? “
“ ถูกต้อง ชั้นถึงบอกว่าแค่ทำในสิ่งที่ทำได้ก็พอยังไงละ “
“ ตะ แต่นั่นมันไม่เหมือนกัน ... ธะ เธอบอกว่า 200 ? ล้อเล่นหรือเปล่า ? นักพจญภัยระดับอดามันไทท์ทุกคนแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ ? “
“ ขนาดพวกเรายังมีระดับสูงสุดแค่ 90 เอง “
“ ถ้างั้น ... เราจะชนะมันยังไงละ!! “
นักพจญภัยมองไปรอบๆ
ลัคคัสไม่ได้โกหกแต่ก็ไม่ได้บอกความจริงทุกอย่าง ที่จริงเธอเองก็มีระดับอยู่ที่ 90 เช่นกัน ส่วนอีวิลอายนั้น 150 ที่เธอสามารถบอกระดับความยากของอินเซคท์เมดได้นั้นเป็นเพราะเช่นนี้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้อีวิลอายไม่ได้อยู่ในแผนการนี้
เพื่อที่จะได้ฟื้นฟูมานาที่เสียเธอจำเป็นจะต้องพักผ่อน หลังจากนั้นเธอก็ตามโมมอนไปเพื่อที่จะสนับสนุนการต่อสู้ของเค้ากับ จัลดาเบาธ์แบบตัวต่อตัว
ระหว่างที่คิดเรื่องต่างๆลัคคัสก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่กระจายออกมา
อย่างที่คิดทุกๆคนต่างขวัญเสียจากเรื่องที่ได้ยิน ลัคคัสรู้ดีเพราะเธอเองก็รู้สึกเช่นนั้นในครั้งแรกที่ได้ยินจากอีวิลอาย
“ เธอได้ยินมาจากอีวิลอายใช่ไหม ? ที่ว่าโมมอนซังคือคนที่สามารถต่อสู้กับจัลดาเบาธ์ได้นะ ถ้างั้นทำไมเราไม่ปล่อยให้เค้าเป็นคนจัดการทุกอย่างแล้วเราก็ไปทำในสิ่งที่ ทำได้ละ “
“ ตะ แต่ถ้าระหว่างที่จัลดาเบาธ์กำลังสู้อยู่กับโมมอนซังแล้วอินเซคท์เมดโผล่มาละ ? “
“ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเรากลุ่มบลูโรสเอง อีวิลอายมีไอเทมพิเศษที่สามารถเคลื่อนย้ายมายังที่ที่พวกเราอยู่ได้ ดังนั้นถ้าอินเซคท์เมดโผล่มาพวกเราจะเป็นคนจัดการเธอเอง “
คำพูดนั้นนำมาซึ่งเสียงเชียร์ของเหล่านักพจญภัยรอบๆ ดูเหมือนจิตวิญญาณนักรบของพวกเขาจะกลับมาแล้ว
ไม่ช้าเสียงคำรามของอสูรกายเบื้องหน้าก็ดังมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงฝีท้าที่ดังไปทั่วบริเวณ
“ มันมาแล้ว ดีละ , สร้างแนวป้องกัน คนที่มีฟลายอิง ดิสค์ ( Flying Disk ) ไปประจำด้านข้างส่วนที่เหลือให้อยู่ป้องกันที่นี่ “
รูปร่างของอสูรด้านหน้านั้นมีลักษณธคล้ายกับสุนัขขนาดใหญ่ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความเฉลี่ยวฉลาดและมีไฟไหลออกมาจากปากของมันอยู่ตลอด เวลา
มีเฮลเฮานด์อยู่ทั้งหมด 15 ตัว ลัคคัสที่ถือดาบปีศาจอยู่ในมือ
“ เจ้าปีศาจ ไม่กล้ามองมาที่ชั้นรึไง “
โดยบทสวดเวทย์น้ำที่เธอร่ายลัคคัสกระโดดฟันหมานรกขาดเป็นสองท่อนโดยการโจมตี เพียงครั้งเดียวส่วนดาบรอบๆก็ทำหน้าที่เป็นดังโล่ที่ใช้ป้องกันการโจมตีจาก ศัตรู ( ใครนึกไม่ออกไม่ดูรูปในเว็ปเอานะ ) จากนั้นเธอก็เตะหมาอีกตัวที่อยู่ด้านข้าง
ลัคคัสจัดการกับเฮลเฮานด์ 6 ตัวด้วยตัวคนเดียว ส่วนที่เหลือนักพจญภัยต่างๆก็ช่วยกันจัดการและเสร็จในเวลาเดียวกับเธอ
“ มีใครบาดเจ็บมั้ย ? “
“ ไม่มีปัญหาลัคคัสซัง “
ไม่มีใครบาดเจ็บที่จริงพวกเขาไม่โดนโจมตีเลยด้วยซ้ำ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี
“ เดินหน้าไปอีก 50 เมตร ไปได้! “
เกิดเสียงสะท้อนดังไปทั่วบริเวณ “ โอ้ๆๆๆ “ เธอจับดาบในมือให้มั่นแล้วก้าวออกไป
การต่อสู้ครั้งสุดท้าย
พาท 1
เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่นั้นไม่มีความร้อนเลยสักนิดมันเป็นเหมือนกับ ภาพลวงตา นักพจญภัยที่ยืนอยู่ต่างมองไปยังปาร์ตี้ของตนและรวบรวมความกล้าก่อนจะก้าว ข้ามผ่านมันไป
ถึงแม้พวกเขาจะได้รับการร่ายเวทย์ป้องกันไฟมาแล้วแต่ว่าพวกเขาก็ยังกลัวที่จะถูกไฟลวกอยู่ดี
... ถึงจะบอกว่ามันไม่มีอันตรายก็เถอะ
ความคิดที่ให้ข้ามกำแพงเพลิงนั้นเป็นของลัคคัส ( Lakyus ) เธอเฝ้าดูอาการของพวกที่ข้ามมันจากแนวหลัง
ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเปลวไฟนั้นไม่มีอันตราย ถ้ามันไม่ได้มีไว้เพื่อทำอันตรายละก็มันก็มีไว้เพื่อการอื่น แต่มันคืออะไรละ ? เหตุผลที่จัลดาเบาธ์ ( Jaldabaoth ) ร่ายมันขึ้นมา หากรู้ถึงเหตุผลนั้นแล้วละก็ปริศนาทั้งหมดก็จะกระจ่าง
กำแพงเพลิงที่เป็นเหมือนกับภาพลวงตานั้นไม่มีการต่อต้านหรือทำอันตรายกับผู้ที่สัมผัสมัน
ลัคคัสมองไปยังนักพจญภัยที่มีสีหน้าที่เป็นกังวล
แผนการนี้ถูกเรียกว่าดีเฟนส์ ไลน์ ( Defensive Line ผู้แปล / ขอทับศัพนะมันฟังดูเท่กว่าแนวป้องกันอ่ะ ) แต่การจะจัดรูปขบวนให้จำกัดอยู่แค่ใจกลางเมืองนั้นเป็นไปได้ยากมาก ดังนั้นเราจึงให้นักพจญภัยระดับโอริฮารูคอน 4 ปาร์ตี้เป็นศูนย์กลางของแผนโดยให้วางคนที่มีความสามารถไว้ด้านบนเพื่อมองหา ศัตรู
ปกติแล้วนักพจญภัยระดับโอริฮารูคอนจะเป็นผู้นำแต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้น พวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ลัคคัสได้แต่ภาวนาว่าพวกเขาจะสามารถรวบรวมความกล้าและเอาชนะความกลัวนี้ได้
ชั้นควรจะไปบัญชาการเองรึเปล่านะ ?
ถ้านักพจญภัยระดับอดามันไทท์อย่างเธอไปเป็นผู้นำเองละก็กำลังใจของพวกเขาจะ ต้องเพิ่มขึ้นแน่แต่ตอนนี้เธอไม่มีใครที่พอจะไว้ใจให้ออกคำสั่งแท้เธอได้เลย ถึงเธอจะเป็นนักพจญภัยระดับอดามันไทท์แต่เธอเพียงคนเดียวก็ไม่อาจต่อกรกับ ปาร์ตี้ของนักพจญภัยระดับโอริฮารูคอนทั้งปาร์ตี้ได้ ดังนั้นเธอแค่คอยออกคำสั่งอยู่แนวหลังก็คงพอ
ถึงจะเอะอะกันบ้างที่ผู้นำออกมายังแนวหน้า แต่ ... อ่าห์ ชั้นคงต้องออกไปดูสถานการณ์ภายนอกสักหน่อย
จากนั้นเธอก็ก้าวข้ามกำแพงเพลิงไป
เบื้องหน้าความเงียบเข้าปกคลุมเมืองทั้งเมืองราวกับเมืองร้างที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
“ กะ เกิดอะไรขึ้นกับบ้านพวกนั้น ? ประชาชนหายไปไหน ? พวกเขาซ่อนตัวอยู่งั้นหรอ ? ชะ ชั้นไม่เห็นได้กลิ่นเลือดเลย “
“ ไม่น่าใช่ , ดูสิ , ประตูถูกพังลง ข้าว่าพวกเขาอาจจะถูกลักพาตัวไปที่ไหนสักแห่ง “
“ แล้วจะเอายังไง ? ถ้าต้องหาทุกซอกทุกมุมก็ไม่ไหวนะมันใช้เวลานานเกินไป แถวอาจจะมีปีศาจดักซุ่มโจมตีพวกเราอยู่ด้วยก็ได้ “
“ ถ้างั้นเราติดต่อไปหาลัคคัสซังแล้วขอคำแนะนำจากเธอดีมั้ย ? “
“ ก็ดี , ถ้างั้น ไปกันเถอะ— “
“ ไม่จำเป็น “
เสียงที่ดังขึ้นทำให้นักพจญภัยทั้งหมดหันไปมอง พวกเขามองไปยังลัคคัสด้วยแววตาที่ตกใจ
“ นักพจญภัยระดับเหล็กและทองแดงไปสำรวจภายในบ้านส่วนนักพจญภัยระดับมิธธิลตาม ไปคุ้มกัน ที่เหลือกระจายตัวออกไปสำรวจบริเวณใกล้ๆ มีใครคัดค้านมั้ย ? “
พวกเขาส่ายหน้าไม่พูดอะไร
“ ถ้างั้นก็เริ่มได้ “
ลัคคัสเดินไปพร้อมกับปาร์ตี้ของนักพจญภัยระดับโอริฮารูคอน ความเงียบที่ปกคลุมพวกเขานั้นเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อเพราะเมื่อเย็นนี้ยัง มีเสียงต่างๆมากมายทั้งพ่อค้าและชาวเมืองที่กำลังจับจ่ายใช้สอยแต่ตอนนี้ ...
“ จะว่าไปโมมอนซังเป็นยังไงบ้าง ? “
ลัคคัสเข้าใจความกระวนกระวายนี้ทั้งเธอและพวกเขาต่างก็คาดหวังในตัวโมมอน
“ เขาสบายดี ขนาดอีวิลอายเองยังยอมรับในตัวเขาเลย แต่ปัญหาคือคนที่จะสู้กับเขาต่างหาก , ผู้นำของศัตรูจัลดาเบาธ์เขาแข็งแกร่งขนาดไหน ? แต่ยังไงก็เถอะ ... “
นักพจญภัยรอบๆเธอเมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็ตกอยู่ในภาวะสิ้นหวัง
“ อ่าห์ , ขอโทษ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ยังไงพวกเราแค่ทำในสิ่งที่ทำได้ก็พอ “
“ นั่นสินะ ถึงจะอิจฉาแต่พวกเราก็ได้งานที่เหมาะที่สุดแล้ว ถ้างั้นพวกเรา ... ไปกันเลย! “
ลัคคัสและกลุ่มนักพจญภัยระดับโอริฮารูคอนก้าวไปพร้อมๆกัน
ในมือของเธอถือดาบปีศาจคิลิเนรัม ( Demonic Sword Kilineyram ) พื้นผิวของมันเต็มไปด้วยดวงดาวดังท้องฟ้ายามราตรี
พวกเขาเดินไปได้ไม่นานก็มีเสียงดังมาจากด้านหน้า เสียงที่ดังกังวานนั้นทำเอานักพจญภัยระดับต่ำถึงกับตัวสั่นส่วนนักพจญภัย ระดับกลางนั้นเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้มีเพียงพวกระดับสูงเท่านั้นที่มอง สำรวจรอบๆ ท่ามกลางปฏิกิริยาต่างๆลัคคัสมองไปยังปลายทางของเสียงเบื้องหน้า
“ ดูเหมือนปาร์ตี้ที่อยู่ทางนั้นจะเริ่มการต่อสู้แล้ว “
อาจจะเป็นกลุ่มของทีน่า
“ ถ้าพวกเรายังไปต่อแบบนี้จะต้องเจอกับศัตรูดักอยู่แน่ “
“ ... แล้วเราจะทำยังไงกับพวกที่บินได้ละ ? “
“ เรามีหน่วยสเกาท์ ( Scout ) อยู่ ยังไม่มีรายงานว่าเจอพวกที่บินได้นะ “
“ ดีเลย ถ้าเกิดมีปีศาจที่บินได้แล้วมันหลุดเข้าไปในตัวเมืองละก็แย่แน่ ดังนั้นพวกเราจะต้องดึงความสนใจของพวกมันมาที่พื้นที่ที่พวกเราอยู่ “
“ ถึงอย่างนั้นแผนหลักของเราก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง “
“ ถูกต้อง ... หืมม นั่นอะไร ? ได้ยินอะไรมั้ย ? “
“ อ้า ชั้นก็ได้ยิน เสียงมันเหมือนหมาเห่า , เฮ้ นะ นะ นั่น! “
“ ชั้นก็ไม่แน่ใจนะ แต่คิดว่าน่าจะเป็นเฮลเฮานด์ ( Hellhound หมานรก / ผู้แปล นึกชื่อไม่ออกเซอร์เบอร์รัสใช่ป่าวหว่า ) ความสามารถของมันคือลมหายใจที่ร้อนแรง ระวังให้ดี คิดว่าระดับของมันคงประมาณ 15 หรือมากกว่านั้น “
“ ระดับความยากอย่างนั้นหรอ ... อืมมจะว่าไปจัลดาเบาธ์กับอินเซคท์เมด ( Insect Maid ) อยู่ระดับเท่าไหร่ ? “
ลัคคัสไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไร ถ้าตอบแบบตรงไปตรงมาผู้คนส่วนใหญ่จะต้องถอนตัวแน่ แต่ถ้าพวกเขาต่อสู้โดยที่ไม่รู้ความจริงละก็จะต้องเกิดหายนะแน่
“ ... 150 “
“ เอ๋ ? “
ทุกๆคนที่ได้ยินต่างร้องเป็นเสียงเดียว
“ ระดับความยากของอินเซคท์เมดอยู่ที่ 150 หรือมากกว่านั้น ส่วนจัลดาเบาธ์คิดว่ามากกว่า 200 “
“ หาห์ ?! “
ผู้คนรอบๆลัคคัสต่างเงียบสนิท มันเกินกว่าที่พวกเขาคาดไว้มากแม้แต่นักพจญภัยระดับโอริฮารูคอนที่เก่งกาจ ยังมีระดับอยู่ที่ 80 เท่านั้น แต่กระนั้น—
“ ดะ เดี๋ยวนะ! เธอกำลังจะบอกว่าโมมอนซังกำลังจะสู้กับปีศาจที่มีความยากมากกว่า 200 ด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรอ ? “
“ ถูกต้อง ชั้นถึงบอกว่าแค่ทำในสิ่งที่ทำได้ก็พอยังไงละ “
“ ตะ แต่นั่นมันไม่เหมือนกัน ... ธะ เธอบอกว่า 200 ? ล้อเล่นหรือเปล่า ? นักพจญภัยระดับอดามันไทท์ทุกคนแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ ? “
“ ขนาดพวกเรายังมีระดับสูงสุดแค่ 90 เอง “
“ ถ้างั้น ... เราจะชนะมันยังไงละ!! “
นักพจญภัยมองไปรอบๆ
ลัคคัสไม่ได้โกหกแต่ก็ไม่ได้บอกความจริงทุกอย่าง ที่จริงเธอเองก็มีระดับอยู่ที่ 90 เช่นกัน ส่วนอีวิลอายนั้น 150 ที่เธอสามารถบอกระดับความยากของอินเซคท์เมดได้นั้นเป็นเพราะเช่นนี้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้อีวิลอายไม่ได้อยู่ในแผนการนี้
เพื่อที่จะได้ฟื้นฟูมานาที่เสียเธอจำเป็นจะต้องพักผ่อน หลังจากนั้นเธอก็ตามโมมอนไปเพื่อที่จะสนับสนุนการต่อสู้ของเค้ากับ จัลดาเบาธ์แบบตัวต่อตัว
ระหว่างที่คิดเรื่องต่างๆลัคคัสก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่กระจายออกมา
อย่างที่คิดทุกๆคนต่างขวัญเสียจากเรื่องที่ได้ยิน ลัคคัสรู้ดีเพราะเธอเองก็รู้สึกเช่นนั้นในครั้งแรกที่ได้ยินจากอีวิลอาย
“ เธอได้ยินมาจากอีวิลอายใช่ไหม ? ที่ว่าโมมอนซังคือคนที่สามารถต่อสู้กับจัลดาเบาธ์ได้นะ ถ้างั้นทำไมเราไม่ปล่อยให้เค้าเป็นคนจัดการทุกอย่างแล้วเราก็ไปทำในสิ่งที่ ทำได้ละ “
“ ตะ แต่ถ้าระหว่างที่จัลดาเบาธ์กำลังสู้อยู่กับโมมอนซังแล้วอินเซคท์เมดโผล่มาละ ? “
“ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเรากลุ่มบลูโรสเอง อีวิลอายมีไอเทมพิเศษที่สามารถเคลื่อนย้ายมายังที่ที่พวกเราอยู่ได้ ดังนั้นถ้าอินเซคท์เมดโผล่มาพวกเราจะเป็นคนจัดการเธอเอง “
คำพูดนั้นนำมาซึ่งเสียงเชียร์ของเหล่านักพจญภัยรอบๆ ดูเหมือนจิตวิญญาณนักรบของพวกเขาจะกลับมาแล้ว
ไม่ช้าเสียงคำรามของอสูรกายเบื้องหน้าก็ดังมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงฝีท้าที่ดังไปทั่วบริเวณ
“ มันมาแล้ว ดีละ , สร้างแนวป้องกัน คนที่มีฟลายอิง ดิสค์ ( Flying Disk ) ไปประจำด้านข้างส่วนที่เหลือให้อยู่ป้องกันที่นี่ “
รูปร่างของอสูรด้านหน้านั้นมีลักษณธคล้ายกับสุนัขขนาดใหญ่ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความเฉลี่ยวฉลาดและมีไฟไหลออกมาจากปากของมันอยู่ตลอด เวลา
มีเฮลเฮานด์อยู่ทั้งหมด 15 ตัว ลัคคัสที่ถือดาบปีศาจอยู่ในมือ
“ เจ้าปีศาจ ไม่กล้ามองมาที่ชั้นรึไง “
โดยบทสวดเวทย์น้ำที่เธอร่ายลัคคัสกระโดดฟันหมานรกขาดเป็นสองท่อนโดยการโจมตี เพียงครั้งเดียวส่วนดาบรอบๆก็ทำหน้าที่เป็นดังโล่ที่ใช้ป้องกันการโจมตีจาก ศัตรู ( ใครนึกไม่ออกไม่ดูรูปในเว็ปเอานะ ) จากนั้นเธอก็เตะหมาอีกตัวที่อยู่ด้านข้าง
ลัคคัสจัดการกับเฮลเฮานด์ 6 ตัวด้วยตัวคนเดียว ส่วนที่เหลือนักพจญภัยต่างๆก็ช่วยกันจัดการและเสร็จในเวลาเดียวกับเธอ
“ มีใครบาดเจ็บมั้ย ? “
“ ไม่มีปัญหาลัคคัสซัง “
ไม่มีใครบาดเจ็บที่จริงพวกเขาไม่โดนโจมตีเลยด้วยซ้ำ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี
“ เดินหน้าไปอีก 50 เมตร ไปได้! “
เกิดเสียงสะท้อนดังไปทั่วบริเวณ “ โอ้ๆๆๆ “ เธอจับดาบในมือให้มั่นแล้วก้าวออกไป
Overlord Vol.6 Ch.11 P.1 ครึ่งหลัง
Overlord Vol.6 Ch.11 P.1 ยัยตัวร้ายกับนายตัดเล็บชายสามคนกำลังวิ่งอยู่ในตรอกที่มืดมิด ไม่มีใครอีกนอกจากพวกเขา
ทั้งสามคนนั้นมีไคลมบ์ เบรน และโจรที่เป็นอดีตนักพจญภัยระดับโอริฮารูคอนที่เจอโดยบังเอิญระหว่างภารกิจกวาดล้างซีโร่
นักพจญภัยที่ทำงานให้มาร์ควิส เรเวน ( Marquis Reaven ) ลาดตระเวนไปตามถนนของเมืองหลวงตามคำสั่งเพื่อล่าปีศาจที่เล็ดลอดเขามา ส่วนไคลมบ์ได้รับภารกิจตรวจในตรอกต่างๆเขาได้รับการช่วยเหลือจากโจรที่เขา ช่วยชีวิตเอาไว้จากการโจมตีของซีโร่
ต้องขอบคุณโจรที่ทำให้เขาผ่านมาได้โดยไม่เจอปีศาจสักตัว หากไม่มีเขาพวกเราคงไม่มีทางมาถึงที่นี่ได้
แม้ว่าจะมั่นใจในฝีมือแต่ถ้าประมาทก็อาจจะทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
ถึงจะรู้จักกันไม่นานแต่นี่อาจจะเป็นข้อผิดพลาดในภายหลังที่พวกเขายอมให้โจรมาร่วมทางด้วยแบบนี้
เบรนขอบคุณเขาที่ช่วยพรางตัวไปกับเงาของตึกต่างๆดูจากจำนวนของตึกที่เพิ่มขึ้นพวกเขาคงจะใกล้ถึงที่หมายแล้ว
“ ข้ามีเรื่องจะถาม , ทำไมเราต้องไปที่คลังสินค้าด้วย ? “
ไคลมบ์ตอบโจรที่กำลังสำรวจรอบๆ
“ ท่านเรนเนอร์ประสงค์ให้เราทำเช่นนั้น หากมีนักโทษเกินความควบคุมเราจำเป็นจะต้องมีสถานที่ที่สามารถดูแลพวกเขาได้ “
“ เข้าใจละ ถ้ามีตัวประกันมากเกินไปพวกมันก็อาจจะใช้จังหวะที่ประชาชนแตกตื่นหนีไปได้ สินะ ถ้างั้น ... เราคงต้องรีบแล้ว ถึงจะกลับทางเดิมแต่เราก็ต้องเลือกเส้นทางใหม่อยู่ดี “
“ ขอบคุณ พวกเราเชื่อในตัวคุณนะ “
เรายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากหลังจากช่วยเหลือผู้รอดชีวิตแล้ว ระหว่างที่คิดว่าพวกเราจะช่วยพวกเขาออกมายังไงนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือความ ปลอดภัยของพวกเขาในระหว่างการล่าถอยต่างหาก เราต้องเลือกเส้นทางในการหลบหนีที่สามารถเคลื่อนย้ายคนจำนวนมากๆได้ด้วย
แต่เราจะโชคดีแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ? เบรนคิด
ภารกิจนี้ไม่ต่างจากให้ไคลมบ์ไปตายเลย
จากที่ได้ยินหัวหน้าของศัตรูคือจัลดาเบาธ์ที่สามารถฆ่านักพจญภัยระดับอดามันไทท์ได้ถึงสองคน เขาแข็งแกร่งเกินไป
เบรนหันไปมองไคลมบ์ที่อยู่ข้างๆ
เขาสวมชุดเกราะสีขาวเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าเขาคืออัศวินขององค์หญิงเรนเนอร์ ตอนนี้เขากำลังลูบถุงมือที่เหมือนกับ ... เอ่อ ... จะอะไรก็เถอะ แหวนที่เขาสวมอยู่ที่นิ้วใต้ถุงมือนั้น
กาเซฟเป็นคนให้เขามา
มันเป็นไอเทมบางอย่างที่เขาได้รับมาจากยายแก่ที่เคยเป็นสมาชิกของบลูโรสมา ก่อน ตามตำนานมันเป็นไอเทมหายากที่เกิดจากเวทย์โบราณในอดีต นั่นจะต้องเป็นไอเทมที่ช่วยเพิ่มพลังของนักรบให้สูงขึ้นแน่
นายจะต้องมีชีวิตกลับมาให้ได้นะ นี่คือสิ่งที่กาเซฟบอกกับเขา ( ผู้แปล / อารมณ์เหมือนคู่เกย์ยังไงไม่รู้แหะ )
กาเซฟไม่ได้แสดงท่าทางพิเศษอะไรออกมา ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ เสียใจ หรือสิ้นหวัง เขาเข้าใจดีในฐานะของนักรบที่คอยรับใช้กษัตริย์ไม่ว่ายังไงสุดท้ายเขาก็ต้อง เข้าร่วมการต่อสู้ที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันอยู่ดี เขาจึงให้แหวนนั้นกับไคลมบ์
เบรนหยุดชะงักหลังจากที่เห็นสัญญานมือที่โจรบอกมาว่ามีคนอยู่ เขามองไปยังตึกที่ว่า—ทันใดนั้นความรู้สึกที่อัดแน่นในอกราวกับจะระเบิดออก
บนหลังคาตึกนั้น—มีเด็กสาวผมยาวสีบลอนด์สวมชุดเดรสที่ทำจากผ้าสีขาว บริสุทธิ์ที่เย็บอย่างประณีต ใต้มิ้ม ( ผู้แปล / ผมไม่รู้จักมันคืออะไรใครรู้ก็บอกที ) ของเธอสามารถมองเห็นรองเท้าส้นสูงที่ส่องสว่างดังเพชรเม็ดงาม รวมกับเครื่องประดับที่ดูพุ่มเพื่อยอย่างแหวน เพชรพลอยและสร้อยคอแล้ว เธอคงจะเป็นลูกของขุนนางหรือไม่ก็ลูกของพ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นแน่
ความงามของเธอเป็นดั่งแสงไฟที่ส่องสว่างให้กับคนยามค่ำคืน เมื่อเทียบกับความร้อนแรงของหน้ากากกระดูกที่เธอใส่แล้วความงามดังกล่าวก็ ไม่ได้ลดลงเลย
ทั้งเสื้อผ้าและสีผมต่างจากตอนนั้น บางทีนั้นอาจเป็นเพราะตอนกลางคืน ตอนนี้เธอดูเหมือนเทพธิดาที่อยู่บนดวงจันทร์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจลบความสงสัยที่ว่าเธอเป็นคนๆเดียวกันหรือเปล่าได้ ภาพของหญิงสาวที่ทำให้เขาต้องเสียน้ำตาในตอนนั้น , ใช่แล้ว เขากำลังมองเธออยู่ในตอนนี้
เขามั่นใจว่าจะต้องเป็นเธอ ภายใต้หน้ากากนั้นเด็กสาวจะต้องเป็นปีศาจตนนั้นแน่—แชลเทียร์ บลัดฟอลเลน ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่สังเกตเห็นพวกเขา แต่ถ้าเธอเป็นปีศาจตนเดียวกันแล้วละก็พวกเขาจะเอาชีวิตรอดไปได้ยังไงโดยที่ ไม่ถูกจับ ?
ไม่มีทางเลย
พอเบรนตระหนักได้ถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังก้าวเดินอยู่บน เหวลึกที่มองไม่ได้ด้านล่าง มีเหงือออกมาจากรูขุมขนของเขามากมาย
เบรนส่งสัญญานไปให้ไคลมบ์และโจรว่าเขามีอะไรบางอย่างจะบอก
จะเอายังไงดี ? แล้วทีนี่เราจะทำยังไง ? ถ้าเราสู้กับเธอพวกเราตายกันหมดแน่แต่ถ้าจะหนีก็จะถูกจับได้อยู่ดี ... จริงสิ!!! ถ้าใช้อุโมงค์ในการหนีละก็ ... ไม่มีอุโมงค์ที่นี่นี่หว่า ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? หรือว่าเธอจะมาตามหาชั้น ?
เบรนยิ้มเยาะให้กับความคิดของเขา
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆคนที่จะแก้ปัญหานี้คงมีแต่เขาเท่านั้น
“ ไคลมบ์คุง , ชั้นจะซื้อเวลาให้ ใช้โอกาสนี้หนีไปซะ ! “
หลังจากนั้นเบรนก็มองไปยังโจรและก้มหัวให้เขา
“ ช่วยดูแลเขาด้วย “
เพื่อไม่ให้เสียเวลาเบรนกระโดดขึ้นไปบนหลังคาที่แชลเทียร์ยืนอยู่ด้วยการ กระโดดเพียงครั้งเดียว แม้ว่าเขาจะไม่มีทักษะในการปีนป่ายของโจรแต่เขาก็สามารถกระโดดขึ้นไปบนตึก ที่สูงถึงสองชั้นด้วยกำลังของนักรบที่ผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างโชคโชน บนหลังคาแชลเทียร์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
หัวใจของเบรนเต้นเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากลัว ... กลัวเกินกว่าที่จะบรรยายได้ ความทรงจำในการต่อสู้ที่สิ้นหวังในครั้งนั้นย้อยกลับมากัดกินหัวใจของเขาอีก ครั้ง แต่กระนั้นเขาก็รวบรวมความกล้าและเผชิญหน้ากับเธอแบบตัวต่อตัว
“ ... มีธุระกับดิชั้นหรอคะ ? “
น้ำเสียงที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งออกมาจากปากของเธอ
เธอจำชั้นไม่ได้ ? อะไรกัน นี่เป็นเกมยังงั้นหรอ ?
ตอนนี้ทำเป็นไม่รู้จักเธอจะดีกว่าแล้วค่อยๆดูการโต้ตอบของเธอ เบรนเพิ่มน้ำเสียงให้ดังขึ้นและพูดว่า
“ ข้ามาที่นี่ก็เพราะเห็นผู้หญิงที่มีท่าทางพิรุธอยู่บนหลังคา เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ? “
“ ดิชั้นต้องตอบคำถามนั้นรึเปล่า ? บางทีคุณอาจจะบอกดิชั้นได้ว่ามนุษย์อย่างคุณมาทำอะไรที่นี่ มีแค่คุณคนเดียวหรอที่ผ่านมาได้ ? “
ถึงจะไม่รู้ว่าตอนนี้ไคลมบ์อยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้เขาไม่อาจละสายตาจากเธอได้ เขาเพิ่มน้ำเสียงขึ้นเพื่อที่จะทำให้เธอสับสน
“ เธอกำลังมองหาใครอยู่ ? ใช่ข้ารึเปล่า ? “
“ ทำไมดิชั้นถึงรู้สึกว่าคุณเจาะจงดิชั้นเป็นพิเศษ ? “
“ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เราเจอกัน ตั้งแต่ตอนนั้นข้าไม่มีวันลืมใบหน้าที่งดงามของเจ้าได้ “
แชลเทียร์เอื้อมมือของเธอไปแตะที่หน้ากากของเธอ
“ ... บางทีเจ้าอาจจะจำคนผิดก็ได้ “
เบรนไม่รู้ว่าจะพูดยังไงต่อ เขาอยากจะถามเธอคือแชลเทียร์หรือเปล่าแต่เขาก็ทิ้งความคิดนั้นไป ต้องเป็นเธอแน่ๆ
... จากคำพูดของเธอ ชั้นเป็นมดปลวกที่ไม่มีค่าพอให้เธอจำงั้นหรอ ?
ถ้าเธอไม่ได้พูดเหน็บแนมเขาก็แสดงว่าเธอจำเขาไม่ได้จริงๆ นั้นหมายความว่าเธอไม่ได้มาที่นี่เพราะตัวเขา แต่กับคนที่มีพละกำลังมหาศาลอย่างแชลเทียร์แล้วนั่นไม่ใช่ความอวดดีแต่เป็น ความจริง
“ ไม่ ... ต้องขอโทษด้วย บางที ... อาจจะเป็นดั่งที่เจ้าว่า เราพึ่งจะเจอกันครั้งแรก “
“ งั้นหรอ ? แต่คุณจะคิดยังไงมันก็ไม่ต่างกันหรอก ยังไงดิชั้นก็ต้องฆ่าคุณเพื่อความปลอดภัยอยู่ดี ยังอยากจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ? หรือว่าอยากจะตายกันละ ? ถ้ายอมเลียรองเท้าของดิชั้น , ดิชั้นอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ “
“ โทษที ขอผ่านดีกว่า “
เบรนตั้งท่าเตรียมพร้อมเทคนิคที่เขาใช้ ใช่แล้ว “ ฟิลด์ “ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ผลกับแชลเทียร์ก็ตาม
“ หา ... “
แชลเทียร์ตะลึงจนพูดไม่ออกได้แต่ส่ายหัวไปมา
“ ดูเหมือนนายจะไม่เข้าใจความแตกต่างของเราสินะ ? “
ที่จริงแล้วเบรนเข้าใจดี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เขาจำเป็นจะต้องลดระยะให้มากกว่านี้ แต่ทำไมเขาถึงยังไม่หนีไปอีกละ ?
เขายิ้มขึ้นเล็กน้อย
ถ้าหัวใจของเขากว้างใหญ่ดังมหาสมุทรมันคงจะเงียบสงบมาก ถึงแม้ว่าเขาจะอยากหนีแต่เขาก็สามารถควบคุมสติของเขาด้วยความเยือกเย็น
แทลเทียร์เดินเข้ามาด้านหน้า มันเหมือนกับภาพรีเพลย์เมื่อครั้งก่อนที่เจอกันและเบรนก็จะถูกจัดการอย่าง แน่นอน ความพยายามของเขาที่อุทิศให้กับความฝันถูกพังเป็นเสี่ยงๆด้วยเด็กผู้หญิง เพียงคนเดียว
ใช่แล้ว มันเป็นแบบนั้น
เบรนสูญเสียความมั่นใจไป
จนถึงตอนนี้เขายังคงจำการจ่อสู้ในครั้งนั้นได้ดี การต่อสู้ที่เดิมพันชีวิต การยอมรับความกลัวในตอนนั้นทำให้เขาเจ็บใจมาก
นี่เป็นความรู้สึกที่น่าเวทนา
เบรนจำสมัยที่เขายังเป็นเพียงเด็กน้อยได้
เขาเป็นเด็กอ่อนแอที่ยืนอยู่กลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด ตัวของเขาสั่นเหมือนกับเยลลี่
จู่ๆเบรนก็หัวเราะขึ้นมา
ผู้เฒ่าคนนึงบอกกับเขาว่าบางครั้งมนุษย์ก็สามารถแสดงพลังที่ไม่คาดคิดออกมาได้แต่เบรนรู้ดีว่ามันเป็นไหไม่ได้สำหรับเขา
เขาไม่ใช่คนที่จะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเจ้าหญิงแล้วก็ไม่เหมือนกับกาเซฟ ที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อแผ่นดิน ทั้งคู่สามารถทำแบบนั้น แต่ไม่ใช่เขา เบรนเป็นคนเห็นแก่ตัวที่จะทำแต่สิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น
ถึงแม้ในตอนนี้—เขาจะกำลังซื้อเวลาให้คนอื่นหนีอยู่ก็ตาม
แชลเทียร์ก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนเบรนสังเกตเห็นเล็บที่ยาวขึ้นของเธอ
มันเป็นเพราะการรับรู้ของเขาดีขึ้นจนทำให้เขารู้สึกเหมือนเวลาถูกหยุดลง เขายิ้มเล็กน้อย
ดีละ , ที่เหลือก็แค่ดูวิธีการที่เธอจะใช้
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น เบรนรู้สึกเหมือนกับเขาเข้าใจเธอมากกว่าผู้หญิงคนอื่นที่เคยเจอมา
ก้าวที่สอง ... อีกก้าวเดียวเธอจะเข้าสู้ระยะดาบของชั้น ...
เขาอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลๆ แต่เขาก็ไม่อาจทิ้งดาบในมือเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดได้
เบรนคิดหาคำตอบในใจ ทำไมเขาถึงทำเช่นนี้
“ อยู่ด้วยดาบ ... และตายด้วยดาบ ? “
ช่วงเวลานั้น หัวสมองของเบรนว่างเปล่า ศัตรูที่ค่อยๆก้าวเข้ามา เขาตวัดดาบที่คมดั่งมีดโกนด้วยความเร็ว
เบรนใช้ “ อินสเตนท์ แฟลช ( Instants Flash ) มันเป็นทักษะต่อสู้ที่ไม่มีมนุษย์คนใดมองเห็น
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจสัมผัสโดนตัวของปีศาจที่อยู่ต่อหน้าได้ แม้จะใช้ “ ฟิลด์ “ และ “ อินสแตนท์ แฟลช “ พร้อมกัน
คู่ต่อสู้ของเขาป้องกันมันด้วยเล็บเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเพิ่มทักษะเข้าไปอีก
เขาเห็นใบหน้าของกาเซฟ สโตรนอฟฟ์ทับกับแชลเทียร์
ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ชั้นคงไม่มีทางมาถึงจุดนี้
หลังจากที่พบเขาที่เมืองหลวง เบรนก็เปลี่ยนความคิดของตัวเอง
ถึงจะไม่ค่อยถูกกันแต่เขาก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด—ไม่สิ ไม่ใช่ คู่แข่งต่างหาก เขาจะมาตายที่นี่ไม่ได้
แม้ว่ามันอาจจะสายไปแล้ว ... แต่ก็ขอบคุณ คู่แข่งของชั้น ... เพื่อนรัก
หลังจากทำใจกับอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นเขาก็ใจเย็นลง ไร้ซึ่งความลังเล เขาพุ่งออกไปพร้อมกับความอัปยศที่มีในอดีต
“ –ย้ากกกก! “
เบรนตะโกนขึ้นราวกับนกที่บ้าคลั่ง มันดังมาจากก้นบึ้งของจิตใจ
เขาฟาดดาบด้วยความเร็วสูงอย่างเหลือเชื่อ “ อินสแตนท์ แฟลช “ เลงไปที่ลำตัวของศัตรูโดยใช้ “ ฟิลด์ “ ยัง ... ยังไม่พอ—จากอินสแตนท์ แฟลช เขาก็เคลื่อนที่ไปอีก
การเคลื่อนนั้น—
ฟันดาบลงมาสี่ทิศพร้อมๆกัน
นี่เป็นเทคนิคของกาเซฟ ชายคนเดียวที่สามารถเอาชนะเบรนได้ด้วยทักษะต่อสู้ในการแข่งขัน เขาชื่นชมมันมากและบอกกับตัวเองว่าสักวันเขาจะต้องใช้มันได้
และตอนนี้เขาก็สามารถใช้มันได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด
“ โฟร์โฟลด์ แสลช ออฟ ไลท์ ( Fourfold Slash of Light ) ! “
มันเป็นท่าที่ใช้โจมตีบริเวณกว้าง
ด้วยการโจมตีนี้ทำให้ร่างกายรับภาระหนักมาก แถมการโจมตีเองก็กระจัดกระจายไปยังส่วนต่างๆ ความแม่นยำของมันนั้นแทบจะไม่ต้องพูดถึง กาเซฟคิดเทคนิคนี้ขึ้นมาก็เพื่อใช้จัดการกับศัตรูที่อยู่รอบๆตัวเขา
ถึงแม้ว่าโฟร์โฟลด์ แสลช ออฟ ไลท์ จะไม่ได้มีการโจมตีที่มากมายเหมือนกับซิกซ์โฟลด์ แสลช ออฟ ไลท์ แต่มันก็สามารถควบคุมมันให้โดนเป้าหมายได้ง่ายกว่า
การโจมตีมั่วตั่วแบบนี้ไม่มีทางที่จะโดนแชลเทียร์ได้
แต่เบรนก็ไม่ยอมแพ้เขาใช้เทคนิคของเขาเข้าสนับสนุน “ โฟร์โฟลด์ แสลช ออฟ ไลท์ “ โดยใช้ “ ฟิลด์ “ ทำให้เขาสามารถเพิ่มระยะของดาบและความแรงได้ตามที่ใจต้องการ
การโจมตีที่ไร้ทิศทางถูกเพิ่มความแม่นยำโดยการใช้ “ ฟิลด์ “ ดาบที่คมกริบดั่งมีดโกนพุ่งเข้าใส่เป้าหมายด้วยความเร็วสูง
แม้แต่ฮีโร่—ที่แข็งแกร่งก็ไม่อาจป้องกันการโจมตีนี้ได้ ความรุนแรงของมันสามารถตัดผ่านเนื้อที่อ่อนนุ่มและกระดูกให้ขาดได้อย่างง่าย ดาย นอกจากนี้มันยังสามารถใช้ในการป้องกันการโจมตีจากศัตรูได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นความสามารถที่เข้าขั้นโกงเลยทีเดียว
แต่แชลเทียร์นั้นไม่ใช่มนุษย์ การโจมตีทั้งสี่ทิศนั้นถูกหยุดไว้ด้วยปลายเล็บ
“ หืมมมม “
แชลเทียร์เปล่งเสียงออกมาพร้อมกับใช้มือซ้ายรับการโจมตีที่เร็วจนมองไม่เห็น เสียงโลหะกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ
การโจมตีทั้งหมดถูกกันได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
แชลเทียร์ยักไหล่และหัวเราะเบาๆใต้หน้ากาก เธอไม่เคยเจอนักรบที่โง่ขนาดนี้มากก่อน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าจะใช้เวลาเล่นกับเขานานหน่อย
แต่ไม่นานนักตาของแชลเทียร์ก็เบิกกว้าง
ตอนนี้หากมีใครเอาความสามารถของทั้งคู่มาเทียบกัน พวกเขาคงจะเชียร์เบรนอย่างไม่ต้องสงสัย คล้ายกับโชคชะตาที่ไม่อาจหลีกหนี เหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออก
“ ... เอ๋ ? “
แชลเทียร์สังเกตเห็นเล็บที่นิ้วมือข้างซ้ายของเธอสั่นลง มันแตกต่างจากเดิมประมาณหนึ่งเซนติเมตร
แชลเทียร์กำลังพิจารณาสถานการณ์ในปัจจุบัน เล็บของเธอถูกตัดออกโดยการโจมตีพวกนั้น ?
มาคิดดูแล้วการโจมตีทั้งหมดพุ่งเป้ามาที่จุดจุดเดียวนั่นก็คือเล็บของเธอ
“ ... นายเลงสิ่งนี้ตั้งแต่แรกแล้วหรอ ? “
“ ฮา—ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! “
ทันใดนั้นชายเบื้องหน้าของเธอก็หัวเราะลั่น หมอนี่บ้าหรือเปล่า ? แชลเทียร์คิดในใจ เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งหลังจากที่ตัดปลายเล็บของเธอ เธอไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ แล้วเธอจะทำยังไงกับเขาดี ?
เล็บและฟันของแชลเทียร์นั่นเป็นเหมือนอาวุธตามธรมมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธที่พิเศษหรือทักษะชั้นสูงอะไรเธอก็สามารถจัดการกับ ศัตรูได้อย่างง่ายดาย เมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นแล้วพลังของมันแทบจะไม่ต่างกันเลย ถึงแม้ว่ามันจะไม่อาจเทียบเท่าได้กับดีไวน์ ไอเทม อย่างหอกดูดเลือดก็ตาม
เช่นนั้นแชลเทียร์ก็ยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่ชายคนนี้หัวเราะออกมาอยู่ดี
แค่ตัดเล็บของเธอออกไปนิ้วนึงมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แชลเทียร์มองไปยังเล็บที่เหลืออีกสี่นิ้ว ถึงแม้เล็บนิ้วก้อยของเธอจะบิ่นไปนิดหน่อย แต่มันก็เพียงพอที่จะฉีดเนื้อมนุษย์ออกเป็นชิ้นๆอยู่ดี
“ ... ก็คือถ้านายตัดมันได้ก็หมายความว่านายผ่านงั้นหรอ ? “
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความปีติยินดี
“ ขอขอบคุณสำหรับคำชม ดาบของชั้น ... ชีวิตของชั้นมันไม่ไร้ค่าอีกแล้ว ทั้งหมดนั้น ในที่สุดชั้นก็เอาชนะความอ่อนแอของตัวเองได้ “
นั่นไม่ใช่คำชม แต่ถึงอย่างนั่นแชลเทียร์ก็แค่เล่นสนุกกับเขาเท่านั้น
ยังไงซะเธอควรจะบอกความรู้สึกจริงๆของเธอให้กับคนที่ปลื้มปีติกับการจัดแต่งปลายเล็บให้เธอ
มาคิดดูแล้วเขาก็เป็นแค่ขยะที่คอยสร้างความไม่สบายใจให้กับเธอเท่านั้น ดังนั้นรีบๆฆ่าเขาจะดีกว่า แชลเทียร์ก้าวไปข้างหน้าและ—
--มีสายเรียกเข้ามาจากเดมิเอิร์จ
แชลเทียร์รู้ว่ามันหมายถึงอะไร เธอมองไปยังปลายทางด้านหน้าแต่เธอก็ไม่อาจรู้สึกถึงเขาได้
“ นี่เป็นผลจากแหวนของท่านไอนซ์หรอ ? “
หนึ่งในแหวนที่ไอนซ์สวมนั้นสามารถปกปิดตัวตนจากการถูกเวทย์ตรวจสอบได้ ปกติแล้วมันไม่สามารถใช้กับการ์เดี้ยนได้ แต่ก็ไม่ได้ผลกับไอนซ์ผู้ปกครองสูงสุดของมหาสุสานนาซาริค
ระหว่างที่เสียใจที่ไม่สามารถสัมผัสถึงนายเหนือหัวของเธอได้ แชลเทียก็หันกลับไปมองหามนุษย์ที่ตัดเล็บของเธอเมื่อครู่
อ่ะ! ดันลืมเจ้ามนุษย์คนนั้นซะได้!
หลังจากที่หันไปเธอก็พบว่าชายคนนั้นกำลังวิ่งแน่บไปในซอยด้านล่าง เขาฉวยโอกาสตอนที่เธอกำลังเหม่องั้นหรอ ?
ไม่มีทางที่จะหนีจากชั้นไปได้โดยที่ไม่บาดเจ็บหรอก
ถ้าเธอใช้เวทย์มนต์เธอก็จะสามารถจับเขาได้ก่อนที่จะหนีไป ไม่มีความลังเลแชลเทียร์ก็ร่ายเวทย์ของเธอ
“ Time Accelerator ( เร่งความเร็วของเวลา )! “
ภาพรอบๆแชลเทียร์เร็วขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เธอพุ่งไปยังชายหนุ่มที่กำลังวิ่งหนีเธอไปยังมุมตึก
เพียงชั่วพริบตาเธอก็ไปดักอยู่ด้านหน้าของชายหนุ่มพร้อมกับอ้าแขนรับตัวของ เขา มนุษย์ที่ต่ำต้อยเช่นเขาคงจะต้องดีใจมากแน่ๆที่ถูกกอดโดยสาวสวยอย่างเธอ
--นั่นมัน ?
เด็กหนุ่มในชุดเกราะสีขาวบริสุทธิ์กับสหายที่ดูเหมือนอันธพาลนั่น
เบรนหันกลับไปเพื่อที่จะมองแชลเทียร์แต่เธอกลับหายไปแล้ว
เธอไม่ได้ไล่ตามชั้นอย่างนั้นหรอ ? ไม่ ไม่ใช่ หรือว่าเธอต้องการจะให้ชั้นพาไปหาคนอื่นๆ ?
เขาไม่ได้ต้องการหนีตั้งแต่แรกแล้ว เขาแค่ต้องการซื้อเวลาให้ไคลมบ์และคนอื่นๆหนีไปโดยใช้ท่อระบายน้ำ
ทุกๆอย่างที่เบรนทำก็เพื่อที่จะให้ไคลมบ์หนีไปได้
แต่พอเขาวิ่งมาได้สักพักก็พบไคลมบ์และโจรที่โบกมือรอเขาอยู่
มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง—
ในหัวของเบรนเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายมากมาย—ทั้งโกรธและผิดหวัง
ใบหน้าของเขาบูดเบี้ยวด้วยความโกรธ เขาพุ่งเข้าใส่ทั้งคู่และคว้าคอเสื้อเอาไว้ การเคลื่อนไหวของเขาช้าลงอย่างเห็นได้ชัดแต่เบรนไม่ได้สุขุมพอที่จะสังเกต เห็น
หลังจากที่วิ่งหนีไปตามทางต่างๆและคอยตรวจเช็คด้านหลังอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ แน่ใจว่าแชลเทียร์ไม่ได้ตามเขามา เขาก็ซัดไคลมบ์เข้ากับกำแพง เนื่องจากเขาไม่สามารถควบคุมแรงที่กระทำออกไปได้จึงส่งผลให้ไคลมบ์ชนเข้ากับ กำแพงอย่างรุนแรง
“ ทำไม ? ทำไมนายถึงไม่หนีไป ?! “
ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธจนมันแทบจะทะลักออกมา เบรนก็ยังคงสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ส่งเสียงดังออกมา
“ แบบนั้น ... แบบนั้นมัน ... “
เบรนกระชากคอเสื้อของไคลมบ์อีกครั้ง
“ แบบนั้นมันทำไม ?! นายเป็นหวงชั้นนักรึไง ?! ห๊า ชั้นว่าชั้นพูดชัดเจนแล้วนะว่าให้หนีไปน่ะ! “
“ เดี๋ยวเดี๋ยว ใจเย็นๆก่อน ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นแต่หลังจากที่นายบอกให้เราวิ่งออกไปแต่มัน ไม่ใช่ความผิดขงไคลมบ์คุงคนเดียวนะ! “
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของโจร เบรนก็สงบลง จริงอยู่ที่เขาไม่ได้อธิบายอะไรเลย เขาค่อยๆหายใจเข้าออกลึกๆ
“ ... ขอโทษด้วยไคลมบ์คุง ชั้นบ้ามากไปหน่อย “
“ อ้า ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษผมหรอก “
“ ไม่ได้ มันเป็นความผิดของชั้น ชั้นต้องขอโทษจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ... “
“ เฮ้ อังกลัสซัง เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ ? จริงอยู่ที่พวกเรารู้จักกันได้ไม่นานแต่คุณในตอนนี้ดูไม่เหมือนเบรน อังกลัสที่ผมรู้จักเลยนะ คุณในตอนนี้เป็นเหมือนกับเด็กที่พึ่งจับดาบมากกว่า “
“ หยุดอยู่ที่นี่อันตรายเกินไป ชั้นจะเล่าให้ฟังระหว่างทาง รู้แค่ว่าชั้นบังเอิญไปเจอกับสัตว์ประหลาดที่สามารถทำให้เซบาสซังวิ่งหนีได้ ก็พอ “
ทั้งสามคนค่อยๆวิ่งไปตามกำแพงอย่างระมัดระวัง นี่อาจจะเป็นความโชคดีของพวกเราจริงๆก็ได้ที่ไม่เจอสมุนของจัลดาเบาธ์ ระหว่างทางแต่ความโชคดีนี้จะอยู่กับพวกเราไปจนถึงตอนจบหรือเปล่า ?
“ คุณไม่ได้รับบาดเจ็บแบบนี้ก็หมายความว่าคุณเอาชนะมันได้แล้วใช่ไหม ? หรือว่า ... พูดหลอกล่อมันด้วยวาทศิลป์กัน ? “
“ ไม่ ข้าแค่ใช้ดาบ ... ตัดเล็บมันออกไปเท่านั้น “
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความยินดี มันไม่มีข้อผิดพลาดเลย—เขา เบรน อังกลัส สามารถตัดเล็บของแชลเทียร์ บลัดฟอลเลนได้
“ ชั้นตัดเล็บของมันได้ ชั้นตัดเล็บของมันได้ ฮาฮา--ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!! “ เบรนพูดซ้ำไปซ้ำมา เขาพยายามซึมซับเอาความรู้สึกนี้เข้าไปในจิตใจ
“ ขะ ... เข้าใจแล้ว นายตัดเล็บของมันได้ ... ด้วยดาบที่งดงามนั้น ... สินะ “
โจรส่ายหน้าไปมา
“ ... เล็บที่เป็นของคนที่สามารถจัดการกับท่านเซบาสได้ นายไม่คิดว่ามันยอดเยี่ยมรึไง ? “
“ นายคิดอย่างนั้นหรอ ? อาจจะเป็นอย่างที่นายว่าก็ได้นะเบรน ... “
เบรนต่อสู้กับเด็กสาวด้วยความตื่นเต้นแถมยังได้รับคำชมจากเธออีกด้วย เบรนส่ายหัวไปมาเพื่อที่จะได้ลืมความคิดบ้าๆในหัว
“ ไคลมบ์คุง ไม่สิ ไคลมบ์ หลังจากที่พบกับท่านเซบาส นายเองก็รู้ใช่ไหม ? ว่ามีคนที่แข็งแกร่งกว่าชั้นอยู่เต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่โมมอนที่อาจจะเก่งพอๆกันกับท่านเซบาส ดังนั้นถ้าชั้นบอกให้นายวิ่งเมื่อไหร่ ก็จงหนีไปซะ ถ้าหากนายอยากจะช่วยละก็แค่หลีกทางไปก็พอ สัญญากับชั้นสิ ว่าครั้งต่อไปนายจะไม่สงสัยอะไรอีก “
“ ชะ ... ชั้นสัญญา “
“ ดีมาก นายเป็นองครักษ์ขององค์หญิง ดังนั้นจงอดทนเข้าไว้ ชั้นมั่นใจว่านายทำได้ “
เบรนตบไปที่บ่าของไคลมบ์และหันกลับไปมองทางที่เขาวิ่งหนีมา
ทำไมนะ ? ทำไมเธอถึงยังไม่ตามชั้นมาอีก ? มีเหตุผลอะไรอย่างนั้นหรอ ?
เบรนนึกคำพูดของเรนเนอร์ขึ้นมาได้
บางทีเธออาจจะมองหาไอเทมแบบเดียวกันกับจัลดาเบาธ์ ถ้าอย่างนั้นเธอก็อาจจะเป็นพวกเดียวกันกับจัลดาเบาธ์ก็ได้นี่ ?
หากมีปีศาจอย่างแชลเทียร์โผล่ออกมามันก็สมเหตุสมผลอยู่ที่พวกเราจะทิ้ง ภารกิจเพื่อเอาตัวรอด แต่ไคลมบ์จะยอมทำตามอย่างนั้นหรอ ? แต่หลังจากที่เขาฟังเบรนแล้วเขาอาจจะยอมฟังและทำตามก็ได้
นั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วอย่างนั้นหรอ ?
มันอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะทำให้ไคลมบ์ปลอดภัย แต่ผู้คนที่เหลือก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ เขาไม่รู้จริงๆว่าทำไมองค์หญิงเรนเนอร์ถึงสั่งให้ไคลมบ์มาทำภารกิจที่เสี่ยง อันตรายขนาดนี้
เบรนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับไคลมบ์เลยสักนิดไม่ว่าจะเป็นชีวิตความเป็นอยู่ใน อดีต พ่อแม่ครอบครัวหรืออะไรที่ทำให้เขาต้องกลายมาเป็นองครักษ์ของเจ้าหญิงทองคำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่านี่อาจจะลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของไคลมบ์ที่ ตั้งใจจะทำตามคำสั่งของเรนเนอร์
เบรนดึงโจรเข้ามาใกล้ๆเพื่อให้แน่ใจว่าไคลมบ์ไม่ได้ยิน
“ นี่ นายคิดว่าดีแล้วหรอที่พาไคลมบ์มาที่นี่ ? มันไม่ดีกว่าหรอถ้าพวกเราจะไปซ่อนที่เซฟเฮาส์จนเสร็จสิ้นภารกิจ ? “
“ ... นี่นายกลัวขนาดนั้นเลยหรือไง ? “
“ ไร้สาระน่า คิดดูสิใครที่ไหนจะมาอาสาทำภารกิจที่อันตรายแบบนี้ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ “
โจรหัวเราะขึ้นและมองไปที่เด็กหนุ่มด้วยความสับสน
“ ข้าควรจะทำเช่นไรดี ... เมื่อเห็นเด็กที่เพียรพยายามอย่างหนักแล้วมันทำให้ข้านึกถึงตัวเองในอดีต แต่กระนั้นข้าก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้าเช่นกัน แต่ว่า ... “
แววตาของโจรเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวไคลมบ์
“ นั่นเป็นทางที่เขาเลือก เราบังคับเขาไม่ได้หรอก “
เฮ่อออ!!! เบรนถอนหายใจ
“ ข้าก็สนใจเจ้านั่นเหมือนกัน ข้าพอจะเข้าใจความรู้สึกของเจ้าหญิงขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อเห็นแววตาและท่าทางของเขาตอนที่ตกอยู่ในอันตราย เจ้าเด็กนี่ช่างใจกล้ายิ่งนัก เพราะแบบนั้น ... เขาจึงเหมือนกับโจรที่ชอบขโมยสมบัติ “
“ แน่นอน ถึงแม้ว่าเขาจะต้องตาย แต่อย่างน้อยเขาก็เลือกที่จะทำมัน “
ด้วยเหตุนี้เบรนจึงเปลี่ยนความคิดของเขาใหม่
“ ถ้างั้นเรารีบไปกันเถอะ ไม่รู้ว่าแชลเทียร์จะตามมาเจอพวกเราเมื่อไหร่ “
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น