"ฉันเห็นมันแล้ว"
ข้างหน้านั้นมีปีศาจสวมหน้ากากอยู่ตนหนึ่งยืนอยู่ใจกลางของพลาซ่าโดยที่ไม่คิดจะซ่อนตัวเลย แม้ว่าเธอจะไม่เห็นปีศาจตนอื่นอยู่ด้วยก็ตาม แต่อีวิลอายก็ไม่ได้โง่ขนาดที่คิดว่ามันจะไม่มีเลยจริงๆ
หลังจากที่สังเกตุเห็นพวกเขาเข้ามาใกล้ๆจัลดาเบาท์ก็ได้หันหลังมาแล้วโค้งคำนับอย่างงดงาม นี่อาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ก็เป็นได้
"กับดักงั้นเหรอ... เอายังไงต่อดีคะ ท่านโมม่อน?"
"มันไม่สำคัญหรอกว่ามีอะไรรอเราอยู่ เราก็แค่จัดการพวกมันให้หมดก็แค่นั้นเอง"
"นั่นสินะคะ"
เสียงของโมม่อนในตอนนี้ไม่ได้มีความหนักแนนและเป็นทางการเหมือนก่อนแล้วอาจจะเป็นเพราะการเดินทางมาด้วยกันได้พักหนึ่ง ในใจของอีวิลอายนั้นเธอก็คิดเหมือนกันว่าเธอเริ่มพูดด้วยคำทั่วไปเช่นกัน ถ้าเธอพยามรักษาระยะห่างและปกปิดตัวตนของเธอไว้พวกเขาคงจะกลับไปเป็นแบบก่อนหน้านี้ทันที ดังนั้นแม้ว่าจะต้องเผยร่างจริงเร็วเกินไปก็ตาม การใช้โทนเสียงสบายๆอาจจะเป็นความคิดที่ดีกว่า อีวิลอายคิดอย่างงั้น
"ดูเหมือนจะได้เวลาแล้วนะ"
เสียงกลองสงครามจากด้านหลังได้ดังออกมา เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโมม่อนจะได้ต่อสู้กับหนึ่งต่อหนึ่งกับจัลดาเบาท์อย่างสะดวก เหล่าทหารจึงเริ่มโจมตีพวกปีศาจนี่เป็นทางเลือกเดียวที่พวกเขามี เช่นเดียวกัน ไม่มีหนทางใดเลยที่จะสามารถช่วยเมืองหลวงเอาไว้ได้นอกจากการจัดการจัลดาเบาท์
"อ่าาดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะคะ ท่านโมม่อน... ศัตรูตนอื่นนั้นปล่อยให้ เป็นหน้าที่ของฉันกับนาเบะเองค่ะ ส่วนท่านโมม่อนก็ควรจะมุ่งเน้นความสนใจทั้งหมดในการสู้กับจัลดาเบาท์ได้เลย"
"เข้าใจแล้ว พวกเราก็เดินทางมาด้วยกันไกลขนาดนี้ หลังจากที่ผมเอาชนะจัลดาเบาท์ลงได้ผมหวังว่าคุณยังจะยืนอยู่ข้างผมและช่วยทำการต่อสู้ร่วมกันกับนาเบะได้หรือไม่?เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมก็หวังว่าพวกเราทั้งสามจะได้กลับไปพร้อมกันนะครับ
"เข้าใจแล้วค่ะ โมม่อน-ซัง"
ทั้งสามได้เผชิญหน้าอยู่กับจัลดาเบาท์ อิวิลอายได้มองไปรอบๆและได้เห็นเมดปรากฎตัวออกมาจากบ้านข้างๆพลาซ่า
เธอเห็นแม่บ้านคนนั้นสวมหน้ากากอยู่เหมือนครั้งสุดท้ายที่เธอได้เจอ เพราะมันคงจะซ่อมเสร็จแล้ว แต่อีวิลอายนั้นสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังที่พุ่งมาหาเธอได้ชัดเจนมาก
แต่พวกนั้นมันมีมากกว่าหนึ่งคนในตอนนี้
จัลเบาท์รู้อยู่แล้วว่าระหว่างเธอกับเมดแมลงใครแข็งแกร่งกว่ากัน และตอนนี้ก็ยังมีเนเบะผู้ขับขานมนต์ตราที่มีพลังทำลายล้างสูงเข้าร่วมอีกด้วยจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเข้ามาสู้เพียงคนเดียว เขาคงต้องวางแผนให้พวกปีศาจระดับสูงนั้นเตรียมการหลบซ่อนรอไว้ก่อนจากนั้นค่อยออกมาหลังจากพวกเรามาถึงแล้วคงจะเป็นอย่างนั้น? และความคิดของเธอนั้นก็เป็นจริง เหงื่อที่เย็นเยือกอีวิลอายได้เหงื่อไหลออกมา
หลังจากเมดคนนั้นปรากฎตัวขึ้น ก็ได้มีเมดคนอื่นที่สวมหน้ากากเหมือนกันปรากฎขึ้นตามๆมา
เครื่องแต่งกายของพวกเธอนั้นดูแตกต่างกันแต่ก็ยังคงเป็นเครื่องแบบของเมด
และจำนวนของพวกเขานั้น..
"...มีมาอีก4คนงั้นเหรอ?!"
สรุปแล้วมีมีกลุ่มคน5คนที่มีพลังต่อสู้พอๆกับเธอ และสองในห้านั้นรู้สึกได้ถึงพลังอันมากล้นที่แตกต่างออกไป การต่อสู้ครั้งนี้ดูเหมือนจะผิดจากที่คาดการเอาไว้มาก
"โถ่่เว้ย! นี่เราดูถูกเจ้าจัลดาเบาท์มากไปงั้นเหรอ!"
ถ้าหากไม่สามารถสกัดเมดทั้งห้าคนนี้ได้ แน่นอนว่าพวกเธอจะต้องไปขัดขวางโมม่อนในการต่อสู้กับจัลดาเบาท์แน่นอน
หากเป็นการต่อสู้ที่สูสีกันแล้ว เพียงได้รับการสนับสนุนเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดความต่างระหว่างผลแพ้ชนะได้ เช่นเดียวกับตอนที่สู่้กับเมดแมลง
"ถ้าอย่างงั้นผมขอมอบทั้งห้าคนนั้นให้กับพวกคุณก็แล้วกัน"
หลังจากพูดแบบนั้นโมม่อนก็ได้คว้าดาบในมือขึ้นแล้วเดินไปหาจัลดาเบาท์อย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่เขาเดินห่างออกไปนั้นหัวใจของอีวิลอายก็ได้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เธอได้สูญเสียความนึกคิดของตัวเองไปเพียงเพราะผ้าคลุมสีแดงของเขาที่ไกลออกไป
เธอได้ตำหนิตัวเองที่พยายามจะยื่นมือไปหาเขา
ตั้งแต่แรกที่เธอมาที่นี่ก็พร้อมที่จะตายอยู่แล้ว แม้ว่าฝ่ายตรงข้างจะแข็งแกร่งกว่าที่เธอคาดไว้ก็ตามแต่เธอก็จะไม่ทำเรื่องหน้าอายเหมือนครั้งที่แล้ว และคำพูดก่อนหน้านี้ของโมม่อนก็เป็นสัญญาณชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาเชื่อในตัวเธอเพียงใด ชายคนนั้นต้องไม่ได้รับความผิดหวังหรือสิ่งที่เลวร้าย
กลับมาคิดแล้วเขาคงต้องบอกสิ่งนี้ภายใต้แผ่นหลังของเขาแน่นอน หากเป็นอีวิลอายกับนาเบะล่ะก็จะต้องต้านศัตรูได้จนกว่าเขาจะกลับมาอย่างแน่นอน
ประกายไฟในใจของอีวิลอายนั้นไดเถูกจุดขึ้นมาแล้ว
"ฉันมาแล้ว เดมิ.... เจ้าปีศาจ!"
โมม่อนคำรามออกมาเหมือนจะเชือดเฉือนจัลดาเบาท์ การต่อสู้ที่รุนแรงได้เริ่มต้นขึ้น เพื่อให้ทั้งสองนั้นสู้กันได้อย่างสะดวก โมม่อนจึงได้กดดันจัลดาเบาท์และบังคับให้เขาออกห่างจากที่นี่อย่างช้าๆ
"ถ้างั้นฉันจะจัดการสามคนส่วนคุณเอาไปสอง คิดว่ายังไง?"
"เธอแน่ใจแล้วงั้นเหรอ? ฉันก็ไม่มีปัญหานะถ้าจะต้องรับมือสามคน"
"หืมม" นาเบะยิ้มออกมาข้างมุมปาก
"คุณจัดการสองฉันจัดการสามแบบนี้ดีแล้ว"
อีวิลอายรู้สึกว่าเธอเริ่มเข้าใจบุคลิกของนาเบะมากขึ้น และ ยิ้มออกมา
เริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีวิลอายนั้นได้รู้สึกประทับใจนาเบะที่เป็นคู่แข่งของเธอและเป็นผู้ขับขานมนต์ตราที่อยู่เคียงข้างโมม่อนมายิ่งขึ้น
จริงๆแล้วถ้ามีแค่โมม่อนกับนาเบะ ฉันคิดว่าฉันน่าจะถอดแหวนออกแล้วเผยร่างจริง... เอาเถอะยังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกลับไปด้วยร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่
"เธอนี่ปากแข็งจังนะ เข้าใจแล้วเอาตามนั้นละกัน ฉันจะรีบดูแลทั้งสองคนนี้ให้เร็วที่สุดแล้วหลังจากนั้นจะรีบมาช่วยเธอ. สู้จนกว่าเธอจะ— อะไรน่ะ?"
ความรู้สึกของอีวิลอายที่ออกมาในตอนนี้นั้น —เมดทั้ง5คนและนาเบะ — พวกเขากำลังมองมาที่เธอ ราวกับว่าพวกเธอได้รวมหัวกันแล้ววางแผนอะไรกันมาก่อนล่วงหน้าแล้วหรืออะไรทำนองนั้น
"ไม่ ไม่มีอะไร"
หลักจากคำตอบอันเย็นชาของนาเบะ เธอก็ได้ก้าวไปอยู่ข้างๆนาเบะ
"ถึงแม้ฉันจะบอกว่าจะจัดการ 3 ให้ แต่ฝ่ายตรงข้ามก็คงจะต้องเลือกเหมือนกันว่าจะส่งใครคนไหนมาสู้กับเราคนไหน"
ฝั่งที่สู้กับนาเบะนั้นมีเมดแมลง เมดผมถักเปียคู่(ลูพูสเลกิน่า) และ เมดผมไดรแฮร์(โซลูชั่น) ส่วนฝั่งที่สู้กับอีวิลอายนั้นมีเมดทื่มัดผมจุกขึ้นไป(ยูริ) และ เมดที่ปล่อยผมยาวลงมา(ชิสุ)
"ดิฉันชื่ออัลฟ้า ส่วนนี่เดลต้า เราจะเป็นคู่ต่อสู้ของคุณให้เองค่ะ"
"พวกเธอนะเหรอ? ดูเป็นทางการจังนะ ฉันชื่ออีวิลอาย คนที่จะโค่นพวกเธอทั้งสองคน!"
อีวิลอายนั้นไม่ได้ตั้งใจจะยืดการต่อสู้ด้วยการสนทนา เธอคิดตลอดว่าฝ่ายตรงข้ามอาจจะงัดไม้เด็ดออกมาใช้ฆ่าเธอเลยก็ได้ เธอต้องระวังตัวให้มาก
"อย่างงั้นเหรอ? น่ากลัวจัง"
อีวิลอายได้เริ่มเคลื่อนไหวและเปิดใช้ท่าก้นหีบของเธอ นี่เป็นความสามารถพิเศษที่จะทำให้พลังจากเชิงลบไหลเวียนรอบร่างกายเธอและทำให้การโจมตีทุกอย่างของเธอมีเอฟเฟคทำให้ติดสถานะเชิงลบ
"เข้ามาได้เลย!"
อิวิลอายร้องออกมาและเริ่มร่ายมนต์
♦ ♦ ♦
เดือน 9 วันที่ 5 เวลา 03:59
"อย่ามาดูถูกกันนะ"
คริสตัลที่มีพลังงานเชิงลบอยู่พุ่งออกไปที่เมดอัลฟา มันเป็นผลึกและมีความสามารถในการเจาะเกราะที่พร้อมจะใช้พลังงานเชิงลบในการทำลายพลังชีวิตของเธอ
อย่างน้อยก็ควรเป็นเช่นนั้น แต่อัลฟานั้นได้วิ่งหลบไปมาราวกับว่าไม่มีทางที่จะโดนการโจมตีนี้ได้เลย
"เคี๊ย!"
อีวิลอายได้กระโดดขึ้นไปบนฟ้า การต่อสู้ระยะประชุดนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากสำหรับผู้ขับขานมนตรา ระยะทางที่ไกลมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการชนะของเธอมากเท่านั้น
เธอลอยไปอยู่ในอากาศและก็ได้มีบางสิ่งเด้งออกไปก่อนที่จะถึงดวงตาของเธอ สิ่งที่เข้ามาโจมตีเธอนั้นถูกปัดออกไปโดย [Crystal Wall] แต่ในเวลาเดียวกันนั้นประกายแสงไฟฟ้ารอบๆตัวเธอก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
แม้ว่ามันจะสามารถป้องกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เธอก็คงโชคดีด้วยเช่นกันที่พวกนั้นเลือกใช้การโจมตีที่ [Crystal Wall] สามารถป้องกันได้ [Crystal Wall] นั้นสามารถป้องกันการโจมตีที่มีระดับต่ำกว่ามันได้ทั้งหมด และ หากเกินกว่านั้นมันก็จะไร้ประโยชน์ไปเลย
"อีกแล้วเหรอ?!"
อาวุธโจมตีระยะไกลที่มาจากเมดที่อยู่ด้านหลังเธอ เดลต้า เธอได้ยิงกระสุนใส่อีวิลอายดักทางก่อนที่เธอจะได้บินไปไหน
"ฮ๊า!"
อัลฟ้ากระโดดและพุ่งขึ้นมาหาอีวิลอาย ทำให้เธอเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ
โดยปกติแล้วคงไม่ใช่ใครหน้าไหนจะเข้ามาหาอีวิลอายด้วยกำปั้นล้วนๆ ถ้ามีพวกนั้นก็คงจะเป็นพวกที่มั่นใจในตัวเองมาก แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่อีวิลอายต้องได้ให้ความสนใจเลย ทว่าหลังจากการต่อสู้ได้ไม่น่า เธอก็เริ่มตระหนักได้ว่าอัลฟานั่นเป็นศัตรูที่น่ากลัว ทุกครั้งที่เธอเปิดช่องว่างอีกฝ่ายก็จะพุ่งเข้ามาโจมตีทันทีด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเธอ ถ้าหากอัลฟานั้นโจมตีโดยที่ไม่สนใจการป้องกันเลยนั้น อีวิลอายอาจจะถูกทำลายไปแล้วก็ได้
หากเธอมีเทียร์กับกากาแรนอยู่เธอคงจะไม่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้อีวิลอายรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเชือกเพียงเส้นเดียวเท่านั้น
เป็นเรื่องที่น่ารำคาญมากเพราะการประสานงานที่สมบูรณ์แบบของพวกเธอ การทำงานกันเป็นทีมนั้นจะสามารถเพิ่มความสามารถให้กับทีมนักผจญภัยได้เป็นอย่างดี และตอนนี้เธอก็ได้บทเรียนนั้นจากทั้งสองคนที่กำลังร่วมมือกันอยู่
"ทำไมพวกปีศาจถึงได้ประสานงานกันได้ดีขนาดนี้เนี่ย... มันบ้าอะไรกัน!"
แต่อีวิลอายก็ไม่มีสิทที่จะพูดเช่นนั้นเพราะ สมาชิกในปาร์ตี้ของเธอทุกคนนั้นเป็นมนุษย์แต่ตัวเธอนั้นเป็นอันเดท
เสียงกระแทกได้ดังขึ้นอีกครั้ง และการป้องกันของ [Crystal Wall] ก็เริ่มบางลง บางที่หากโดนโจมตีอีกครั้งมันคงจะถูกเจาะแน่นอน
อีวิลอายพยายามที่จะหนีจากการไล่ตามของอัลฟ่าที่รุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ แม้ว่าร่างกายของอีวิลอายจะเหนือหว่าคนธรรมดาเพราะว่าได้รับพลังจากแวมไพร์ แต่ร่างกายของอัลฟานั้นแข็งแกร่งกว่ามาก เหตุผลเดียวที่เธอยังไม่ถูกอัลฟาจับตัวได้นั้นก็คือเธอมีเวทย์บิน
การใช้เวทย์ที่ต้องล็อกเป้าหมายนั้นจะทำให้ร่างกายขยับไปไหนไปได้ และเป็นเรื่องยากมากหากหลังจากใช้จะเคลื่อนที่หลบไปไหน เพราะหากทำเช่นนั้นจะทำให้ร่ายกายนั้นเสียสมดุลและพลาดได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ขับขานมนตราต้องอยู่นิ่งขณะร่ายเวทย์ ด้วยเหตุนี้อีวิลอายจึงเลือกใช้การบินเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบที่ว่านั้นเพราะสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระภายในอากาศนี่ไม่ใช่เรื่องที่พิเศษอะไรสำหรับคนที่มีเวทย์บิน แต่มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนปกติที่จะบังคับให้ได้ดั่งใจ แต่ด้วยความเป็นแวมไพร์ของอีวิลอายที่มีสกิลบินติดมาด้วยอยู่แล้ว และ เธอมีชีวิตอยู่มาถึง250ปีประสบการณ์ในการบินนั้นย่อมอยู่ในระดับสูงมาก
เสียงกระแทกได้ดังขึ้นอีกครั้งกำแพงป้องกันของเธอถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์
มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่า [Cystal Wall] ถูกทำลายไปโดยการโจมตีเพียงสามครั้ง แต่ถ้าเป็นพวกนี้ก็คงไม่น่าจะยากอะไร
“「Sand Field— All」!”
ผืนแผ่นดินทรายได้แพร่ออกไปเป็นวงกว้างแม้แต่เดลต้าที่อยู่ไกลออกไปหรืออัลฟาก็ถูกจับอย่างสมบูรณ์ในพื้นที่นี้ เพราะมันมีผลแม้แต่กับคนในปาร์ตี้มันจึงไม่มีประโยชน์หากใช้ในการต่อสู้เป็น กลุ่ม ฝ่ายตรงข้ามจะถูกตรึงเอาไว้ และติดสถานะตาบอด ไซเรน และ มึนงงเพราะพลังงานเชิงลบของอีวิลอายที่ปกคลุมรอบๆผืนทราย
เวทย์มนต์ระดับ 5 ที่เธอสร้างขึ้นมาเอง และมันก็เป็นไพ่ใบที่สำคัญสำหรับอีวิลอายมาก
แต่ถึงอย่างงั้น อัลฟาก็ไม่ได้ถูกลดความเร็วลงหรือไม่มีท่าทางว่าจะบาดเจ็บเลย
"ได้ยังไงกัน?!"
เธอมีพลังในการป้องกันการตรึงและพลังงานเชิงลบได้ยังไง?
"เธอเก่งจริงๆฉันของยอมรับ! นี่ของความสามารถของชุดที่ใส่อยู่นี้ไงล่ะ!"
หลังคำตอบนั้นอัลฟาได้หายไป ราวกับว่าเธอเทเลพอตระยะสั้นและปรากฎมายังตรงหน้าของอีวิลอายจากนั้นเธอก็เตะเข้าที่หน้าของอีวิลอาย
หน้ากากของเธอแตกเป็นเสี่ยงๆ และร่างของเธอก็ถูกเหวี่ยงออกไปไกลมาก
เธอได้เด้งไปมาบนอาคารก่อนที่จะทำการแก้สถานะมึนของตัวเอง
"「Crystal Wall」!"
กำปั้นของอัลฟาได้กระแทกกับคริสตัลและผนังก็เกิดการสั่นสะเทือนรอยแตกได้กระจายออกไปจากการโจมตีของอัลฟาและถูกทำลายลง
"...หืม!"
แล้วเสียง "แบง" ก็ดังออกมาในขณะที่เท้าของอัลฟากระแทกลงไปที่พื้นโดยเธอใช้แรงส่งจากกำแพงคริสตัลของอีวิลอาย ก่อนที่เธอจะทันมองเห็น
"นั่นมัน [Charged Energy Release]?!"
ในขณะที่เธอกำลังรักษาระยะห่างนั้น อีวิลอายก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ผ่านเท้าของเธอ เธอไม่ทราบว่ามันมาจากไหน แต่สัญชาติญาณบอกว่ามันเป็นผลพวกจากการต่อสู้ทั้งสองที่นั้นแน่นอน
"ดูเหมือนพวกเขาก็ยังต่อสู้กันอยู่... ไม่สิคงจะถึงจุดไคล์มแม็กแล้วแน่นอน นั่นหมายความว่า... ฉันต้องซึ้อเวลาให้มากกว่านี้!"
หลังจากเธอกล่าวเช่นนั้น อีวิลอายก็ได้พุ่งเข้าโจมตีอัลฟา
เธอได้เตรียมการอะไรก่อนหน้านนั้นเล็กน้อย การที่เธอลากตัวเองเข้ามาในการต่อสู้ครั้งนี้ เธอได้เตรียมใจที่จะตายไว้แต่แรกแล้ว และตอนนี้เธอก็ได้ทำการโจมตีแบบพลีชีพแล้ว
อัลฟาได้ตั้งท่าฝ่ามือขึ้นมาเพื่อเตรียมรับการโจมตีของอีวิลอาย เธอยืนตรงเหมือนใช้ [invulnerable fortress]แต่ถึงจะเป็นแบบนี่นอีวิลอายก็ไม่ได้หยุดการโจมตี—
♦ ♦ ♦
เดือน 9 วันที่ 5 เวลา 03:53
ในระหว่างที่ไอนซ์กำลังต่อสู้กับจัลดาเบาท์รวมถึงคนอื่นๆด้วย พวกเขาก็ได้พุ่งเข้าชนกับบ้านประตูแตกเป็นเสี่ยงๆ จัลดาเบาท์ถูกกระแทก เศษต่างๆกระจายไปทั่วห้องที่มืดมิดและแคบแต่มันก็ยังมีพื้นที่พอให้ไอนซ์แกว่งดาบของเขา
แต่เขาหยุดไว้ก่อนที่จะโดนจัลดาเบาท์ ไอนซ์ได้ก้าวถอยออกไปก่อนที่จัลดาเบาท์จะลุกขึ้นและเดินตามเขาไป พวกเขาเข้ามาในห้องเล็กที่มีโต๊ะขนาดเล็กพร้อมกับเก้าอี้สองตัวและมาเร่
มาเร่ได้ดึงเก้าอี้ออกให้ไอนซ์นั่ง จากนั้นไอนซ์ก็อนุญาติให้จัลเบาท์เอาหน้ากากออกทำให้ได้เห็นใบหน้าของเดมิเอิร์จ
"อย่างแรกห้องนี้ปลอดภัยหรือเปล่า?" ไอนซ์ถาม
"ไม่มีปัญหาครับ คำพูดที่คุยอยู่ในตอนนี้มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่ได้ยิน"
"อย่างงั้นเหรอ.. เอาละอย่างแรกก่อนที่ฉันจะเริ่มถามอะไร ห้ามทำอันตรายใดๆต่อพวกทหารยามที่ฉันใช้เส้นทางผ่านมา ที่นี่มันค่อนข้างไกลจากอีแรนเทลการช่วยเหลือผู้คนที่อยู่ในความทุกข์ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ที่ดี"
"เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างงั้นจะใส่ถ่ายทอดคำสั่งนี้ผ่านทางกระแสจิตเลยไหมครับ?"
"เอาตามนั้น แล้วก็ไหนลองบอกแผนของเจ้าให้ฟังซิ"
แม้ว่าเดมิเอิร์จจะอธิบายแผนการทั้งหมดใน้นาเบรัลฟังผ่านทาง [Message] แต่เธอก็ยังไม่ได้นำข้อมูลพวกนั้นมาแจ้งให้เขาเลย เขาต้องพยายามทำตัวให้เงียบและไม่แสดงความไม่พอใจออกมาเพื่อให้แน่ใจว่าแผนการแหลของเขายังไม่ถูกทำลาย แต่หัวใจของไอนซ์ตอนนี้เป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก
"เยี่ยมยอดครับ แผนการครั้งนี้มีหัวข้อหลักอยู่ 4 อย่าง—"
"โห... ฉันยังนับได้แค่สามเองนะ เจ้าพูดว่า4เชียวหรือ?"
เดมิเอิร์จยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนพึงพอใจในตนเอง
"ผมคิดว่าหากที่แผนให้ท่านไอนซ์เพิ่มมาอีกซักหนึ่งอย่างมันคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าครับ"
ไอนซ์โบกมือรับอย่างใจกว้าง แน่นอนเขาไม่รู้มาแต่แรกอยู่แล้วว่ามันมีสามหรือสี่ แต่คำพูดของเดมิเอิร์จนั้นก็ยังคงทำให้เขาสบายใจไม่ได้
"เจ้าช่างมีความคิดที่ไกลเกินฉันไปหนึ่งก้าวทุกทีเลยนะ"
"พูดอะไรอย่างงั้นกันล่ะครับ? ท่านจะถ่อมตัวเกินไปแล้ว"
"ไม่นะ จริงๆแล้ว— ช่างเถอะ ถ้างั้นไหนลองบอกถึงรายละเอียดของงานมาซิ"
"แท้จริงแล้ว จุดประสงค์ของการโจมตีย่านคลังสินค้านั้นก็เพื่อรักษาความปลอดภัยของทรัพสินและพวกสินค้าที่จะถูกส่งไปยังนาซาริก เพื่อความสะดวกผมจึงได้ให้
“นังผู้หญิงนั่นมันเอาเสียงของฉันไป!”
"อ่อ..เข้าใจแล้ว"
นาเบรัลได้พยักหน้าของเธอให้กับเอนโทม่า ตัวเอนโทม่านั้นเกลียดเสียงเดิมของตัวเองมากดังนั้นเธอจึงพยายามใช้มันให้น้อยที่สุด
“ฉันอยากจะให้นังนั่นมันรู้สึกว่าเป็นยังไงหากโดนอย่างงี้!”
แม้ว่าใบหน้าของเธอจะุถูกปิดไว้ด้วยแมลง แต่รังสีการฆ่าฟันและความโกรธยังคงออกมา
"เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้นี่ ตั้งแต่เธอออกมาพร้อมกับท่านไอนซ์แล้ว มันคงจะเป็นการทำลายชื่อเสียงเขาแน่ๆหากเธอคนนั้นไม่มีชีวิตรอดกลับมา"
เอนโทม่าดูไม่ค่อยพอกับสิ่งที่นาเบรัลกล่าวเท่าใดนักแต่เธอก็ยังคงเงียบสงบ มันทำให้เห็นได้ชัดว่าเธอเลือกที่จะทำตามเจ้านายมากกว่าความปรารถนาของตนเอง และเรื่องนี้เหล่าแบทเทิลเมดก็เข้าใจกันดี
"แล้วเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ดูค่อนข้างแข็งแกร่งนั่นชื่ออะไรเหรอ?"
"ฉันไม่มีความสนใจที่จะจำชื่อของพวกยุงหรอกค่ะ บางทีคิดว่าชื่อของเธอน่าจะเป็น อีวิล-อะไรซักอย่างนี่แหละ"
"หมายความว่า~ คุณไม่ได้เห็นเธอคนนั้นเป็นเพื่อนเลยสินะคะ?"
นาเบรัลขมวดคิ้วตรงคำว่าเพื่อนเหมือนเป็นการส่งคำตอบให้กับโซลูชั่น
"...บางทีน่าจะเป็นสมาชิกของกลุ่มบลูโรสที่ชื่อ อีวิลอายนะคะ. เห็นท่านเซบัสเขียนชื่อนี้ลงไปในรายงานบ่อยเหมือนกัน"
"อ่า ก็คงจะชื่อนั้นแหละ"
นาเบรัลรู้สึกว่าชื่อที่โซลูชั่นพูดออกมานั้นถูกต้องแล้ว
"นาจังแกล้งทำเป็นพวกปัญญาอ่อนหรือเปล่าน้อ? ไม่เป็นไรใช่ไหม?"
"แล้วเธอจำชื่อของมนุษย์ทุกคนได้หรือไงกัน?"
"สำหรับฉันไม่มีปัญหาอะไรนะคะ มันคงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องรู้สำหรับการปฎิบัติหน้าที่อยู่แล้ว. และฉันก็ค่อนข้างเอาใจใส่กับการจำชื่อที่สำคัญนะคะ"
"บ่มีปัญหาน่อ ซู~ สำหรับการจำชื่อของพวกมนุษย์ทั้งหลาย จะบอกว่าฉันสวยละสินะ?"
”ไม่มีปัญหา”
นาเบรัลรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่พบว่าเธอนั้นเป็นคนที่มีปัญหาอยู่คนเดียว ในตอนที่เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องชื่อดีไหม เสียงระเบิดก็ดังขึ้นมา แต่เนื่องจากมีอาคารปิดกันอยู่เยอะพวกเธอจึงไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
"อ่า พวกเธอควรจริงจังกันบ้างนะ"
"ถ้าอย่างงั้นก็ต้องเป็น พี่ยูริกับชิสุ~เพราะพวกเขาจริงจังตลอดเลย แต่การต่อสู้ก็ยังไม่จบนี่นะ แปลว่าพวกเขายังไม่ได้ใช้พลังจริงๆสินะ"
”ถ้าหากมันมาเป็นคู่มือของฉันอีก ฉันจะสู้กับมันจนกว่ามันจะตาย!”
"อีวิลอายค่อนข้างแข็งแกร่งก็จริง แต่ระดับเธอสู้คนเดียวแบบนี้ คงเอาชนะพี่ยูริหรือชิสุไม่ได้หรอก"
"นั่นไม่เป็นไรหรอก."
ทุกคนหันมาให้ความสนใจ นาเบรัลจากนั้นเธอก็พูดต่อ, "อีวิลอายและตัวเธอนั้นต่างเป็นผู้ใช้พลังแหง่ธาตุทั้งคู่ ซึ่งพวกเรานั้นสามารถเข้าใจได้ถึงองค์ประกอบต่างๆของการใช้เวทย์ได้เป็นอย่างดีนั่นหมายความว่าพลังที่ใช้อยู่นั้นสามารถเพิ่มขึ้นมาได้เรื่อยๆหากยังอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง แต่ถ้าหากนอกจากนั้นแล้วพวกเราจะอ่อนแอไปอย่างมาก"
"เธอเป็นธาตุดิน ถ้างั้น...ที่ออกมามันก็น่าจะเป็นกรด,พิษ หรือแรงโน้มถ้วงใช่ไหม? แล้วทำไมมันถึงเป็นคริสตัลล่ะ?"
"นั่นต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเวทย์ธาตุดินอย่างลึกซึ้งก่อน เวทย์คริสตัลของเธอก็ค่อนข้างมีความแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว"
"เวทย์ที่จะทะลุเกราะป้องกันทางกายภาพงั้นเหรอ...ฉันไม่ค่อยเข้าใจเลย..."
ถ้าหากฉันเป็นคู่ต่อสู้เธอ จะฆ่าเธอยังไงดี? ในขณะที่ทั้งสี่คนกำลังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น แต่ความรู้สึกมันแตกต่างจากแผ่นดินไหวตามปกติเล็กน้อยและแรงสั่นสะเทือนก็กระจายไปโดยรอบ
“แผ่นดินไหวครั้งนี้ต้องมีสาเหตุมาจากท่านมาเร่แน่ๆ นี้อาจจะเป็นสัญญาณให้เราดำเนินสู่ขั้นตอนต่อไปหรือ?”
"นี่นะเหรอสัญญาณ?"
"ถูกแล้วนาเบรัล หลังจากนี้เราจะขอทำร้ายเธอซักหน่อยนะได้ไหม?ถึงมันจะดูไม่ค่อยดีแต่ก็คงต้องให้เธอได้มีแผลซักหน่อยนะ"
"จะพยายามไม่ทำให้เจ็บมากนะ ยกโทษให้ด้วยนะ ซู~"
"ไม่ต้องเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกค่ะ ขอแค่มันได้ผลดีก็พอแล้ว"
Overlord Vol 6 Ch 11 Part 2.3 END
เดือน 9 วันที่ 5 เวลา 03:57
"ใจเย็นกันก่อน! กรุณาใจเย็นลงกันก่อนครับ!"
ไคล์มพยายามไม่ใช่ใช้เสียงของเขาให้สูงเกินไปในการเรียกผู้คน และภายในคลังสินค้าตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจเอ่อล้นออกมา ด้วยเสียงเพียงแค่นั้นของเขาคงทำให้พวกเขาสงบลงไม่ได้แน่นอน
"ลูกของฉัน—"
"เมียฉันโดนเอาตัวไป—"
"ม่าม๊า ปะป๊า—"
ชาย หญิง เด็กและคนแก่เสียงเหล่านี้ผสมปนเปกันเหมือนกับคลื่นเข้ามาซัดไคล์ม เขาในตอนนี้ไม่สามารภทำอะไรได้เลย
ไคล์มได้ค้นหาชาวบ้านได้กว่าสามร้อยกว่าคนด้วยตัวเองและพาพวกเขามายังที่หลบภัยที่ตนหาให้ ผู้คนตอนนี้ถูกขังไว้ในห้องเล็กๆและไม่มีความคิดที่จะออกไปข้างนอกในตอนนี้เลย สิ่งที่พวกเขาทำในตอนนี้คือคร่ำครวญเกี่ยวกับเรื่องสมาชิกในครอบครัวที่ถูกเอาตัวไป
เสียงร้อง การตอบสนองเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้วในตอนนี้ แต่การกระทำแบบนี้มันก็เป็นเรื่องอันตรายเช่นกัน
ถึงแม้ระหว่างทางพวกเขาจะไม่เจอปีศาจเลยก็ตามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้จะไม่มีพวกมันอยู่ข้างนอกเลย ที่จริงแล้วพวกเขาได้เห็นเงาของปีศาจตามตรอกซอกซอยมาหลายจุดและก็พยายามหลีกเลี่ยงมาเรื่อยๆ ถ้าตอนนี้ถ้าพวกเขาได้ยินเสียงของพวกมันแถวๆนี้ก็คงขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าพวกมันจะหาที่นี่เจอเมื่อไหร่
"คุณเป็นเพียงคนเดียวที่เราหาพบระหว่างทางนี้ครับ—"
"แล้วเมียของฉันล่ะ? ออกไปหาเธอด้วยสิ!"
"นั่นมัน—"
บางที่ถ้าเขายกเสียงของเขาให้สูงกว่านี้และตะโกนใส่ชายคนนั้นบางทีพวกเขาอาจจะใจเย็นลง ไคล์มนั้นเป็นนักรบและแข็งแกร่งกว่าพวกทหารยามอย่างแน่นอน หากเขาจะทำให้คนอื่นเงียบจะควักหัวใจชายคนนี้ออกมาโชวยังทำได้ง่ายๆเลยด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น
ไคล์มนั้นเป็นตัวแทนของเจ้าหญิง เขาอยู่ที่นี่ก็เพราะได้รับความไว้วางใจจากเธอ หากเขาใช้วิธีที่ทำตัวเป็นภัยคุกคามกับพวกประชาชนและทำให้พวกเขาไม่ชอบใจขึ้นมาเรื่องนี้คงต้องโดนไปถึงเจ้าหญิงเรนเนอร์ด้วยแน่นอน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพยายามหาหนทางในการไม่ใช้วิธีที่รุนแรงกับพวกเขา
"เห้ย ตอบพวกเรามาสิ—"
"ลูกของฉันยังเด็กอยู่เลย—"
"ปะป๊า! ม่าม๊า!"
"หุบปากได้แล้วเว๊ยพวกแกทุกคน!"
ความรู้สึกต่างๆที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศภายในคลังสินค้าได้ถูกปัดเป่าออกไปหมดอย่างทันที. เบรนในตอนนี้ควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว — ความโกรธของนักรบผู้เก่งกาจ — ที่สามารถกลืนกินหัวใจของพวกเขาทั้งหมดได้
"ที่พวกแกทั้งหลายพูดเจื้อยแจ้วกันเหมือนไก่เป็นเพราะเขาพูดเบาไปงั้นเหรอ พวกเราอยู่ในเขตศัตรูนะเว้ย และก็ไม่มีทางที่จะรับประกันความปลอดภัยได้หรอก ถ้าหากพวกแกยังไม่ทำตัวให้เงียบๆเดี๋ยวพวกปีศาจมันก็คงรู้แล้วลงมาฆ่าพวกเราทุกคนนี่แหละ หากเข้าใจแล้ว ก็หุบปากกันไปซะ!"
เบรนได้กวาดสายตาไปรอบๆคลังสินค้าที่เต็มไปด้วยความเงียบก่อนจะมองมาที่ไคล์ม พวกชาวบ้านตอนนี้พยายามหลับตาและรีบถอยห่างจากภูเขาไฟของเบรนที่จะปะทุออกมา
"ตอนนี้ถึงเวลาตัดสินใจแล้วไคล์ม"
ไคล๋มได้รับหน้าที่ในการตัดสินใจเรื่องๆต่างๆเป็นส่วนใหญ่และตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นหนทางที่เข้าท่าจริงๆเลยแม้แต่ทางเดียว
"มันพูดยากใช่ไหม? ช่างมันเถอะ ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง ส่วนนายพยายามเข้าล่ะในหัวของนายต้องมีความคิดที่ดีแน่นอน แล้วก็ครั้งต่อไปถ้ามีใครพูดอีกฉันจะฆ่ามันทันที เพราะฉันก็ไม่มั่นใจหรอกนะว่าทุกคนในนี้ทั้งหมดคือมนุษย์"
เบรนได้มองไปที่คาตานะของเขาที่กำลังสะท้อนแสงออกมาก่อนจะพูดขึ้นมา
"ฉันเข้าใจว่าพวกนายเป็นกังวลฉันก็เหมือนกัน แต่มองไปคนที่อยู่ข้างนายสิแน่ใจแล้วหรอว่าเขาคือมนุษย์?"
ผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ
"ฟังนะฉันเห็นปีศาจมามากมาย...ไม่ว่าจะพวกที่มีปีก...มีหาง..หรือที่เหมือนคนแต่ไม่มีผิวหนังเป็นจำนวนมากอยู่ข้างนอกนั่น... พวกนายก็คงได้เห็นกันว่าระหว่างทางแล้วใช่ไหม?
ทุกคนต่างหันมองมาที่เบรนก่อนจะพยักหน้าให้อ่อนๆ
"แล้วก็ไม่มีใครรับประกันได้ด้วยใช่ไหมว่าจะมีปีศาจที่สวมผิวหนังของมนุษย์ด้วยหรือเปล่า?
พวกเขานั้นไม่ได้รับอนุญาติให้พูดก็จริง แต่บรรยากาศตอนนี้ก็ยังคงมีความวุ่นวายอยู่พวกเขาเริ่มมองหน้ากันด้วยความสงสัยและพยายามจัดตำแหน่งของตัวเอง คลังสินค้านี้มีขนาดเล็กแต่มันก็ไม่ได้เล็กขนาดที่ทุกคนจะบีบอัดกัน มันมีพื้นที่พอที่จะให้ทุกคนหลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวกับคนอื่นได้
"ใจเย็นกันไว้ หากมีปีศาจอยู่ที่นี่จริงเราจะฆ่ามันเอง หากเข้าใจในจุดๆนี้กันแ้ล้วก็สบายใจได้" ขณะที่บรรยากาศกำลังผ่อนคลายลงเบรนก็เริ่มกล่าวต่อ "แต่ถ้าหากพวกปีศาจข้างนอกมันแห่กันเข้ามาฉันก็คงจะคุ้มกันไม่ไหวนะ พวกนายคิดบ้างไหมว่าถ้าหากมีปีศาจแฝงตัวอยู่ในนี้มันก็คงต้องพยายามสร้างเสียงเพื่อเรียกพวกมันมา? ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่าฉันฆ่าทุกคนที่เอะอะเสียงดังได้ใช่ไหม? โอ้ แน่นอนว่าบางคนอาจจะคิดว่า "แต่ฉันเป็นมนุษย์นะ นายจะฆ่าฉันงั้นเหรอ?" แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการรู้เว้ย ที่ทำก็เพราะปกป้องทุกคนที่นี่ สรุปแล้วใครที่มันส่งเสียงดังมันต้องตาย"
เป็นอีกครั้งที่ทุกคนถูกจะโลกด้วยจิตสังหารจากสายตาของเขา
"ดูเหมือนจะเข้าใจกันแล้วนะ อย่างแรกก่อนหน้านี้พวกเราได้ไปสำรวจโกดังรอบๆนี้นิดหน่อย ไม่ใช่แค่เราไม่เจอใครเลย แต่สินค้าทั้งหมดภายในคลังรอบๆกำแพงไฟนี้ก็ไม่เหลือเช่นกัน ในย่านสินค้าแบบนี้มันต้องมีคนมากกว่าหมื่นอยู่แล้วสิ แต่ทำไมมันถึงได้เหลือแค่สามร้อยกว่าคนเองล่ะ?"
เบรนสูดลมหายใจเข้าลึก
"นั่นแหละปัญหาในตอนนี้ ทำไมเราไม่เจอคนอื่นนอกจากพวกนายเลย? บางที่อาจจะเพราะโชตร้าย แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ต้องพยายามหลบพวกปีศาจต่อไปไม่ให้มันรู้ตัว แต่... มันคงยากที่จะยอมรับใช่ไหม? บางที่พวกเขาน่าจะถูกนำตัวจากคลังสินค้าไปไว้ที่อื่นแน่นอน อย่าแตกตื่นสิเห้ย! พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันแหละว่าที่ไหนแต่ถ้าที่ที่พวกปีศาจมันพาไปคงไม่ใช่ที่ที่ดีแน่นอน"
ผู้คนที่เข้าใจความหมายของคำนี้ก็ได้ยกหน้าขึ้นและมีเสียงสะอึกสะอื้นออกมา
"และพวกนายหลายๆคนถูกพวกปีศาจเอาตัวไป นั่นหมายความว่าพวกนายที่เหลืออยู่ตอนนี้ได้หลบหนีจากชะตากรรมนั้นแล้ว แต่จงจำเอาไว้ว่าพวกเรายังอยู่ในใจกลางดินแดนของพวกปีศาจอยู่ ถ้าหากพวกนายยังขยับตัวไปมาแล้วไม่อยู่กันเงียบๆพวกนายได้ถูกฆ่าตายก่อนจะรู้สึกตัวแน่นอน เดี๋ยวนะผู้ชายตรงนั้นทำท่าเหมือนมีคำถามหนิ ฉันอนุญาติให้แกพูด"
ผู้ชายที่ถูกคาตานะชี้ไปหาได้ถามคำถามของเขาออกมาด้วยเสียงกลัวหน่อยๆ
"แล้วจะเป็นยังไงถ้าเรายังอยู่ที่นี่ต่อไป?"
"นายก็จะถูกเอาตัวไปโดยพวกที่นายรู้จักกันดีในนามของปีศาจ มันจะเอานายไปที่ไหนซักที่ที่เหมือนนรกนั่นแหละ"
"คือ—"
เบรนได้มองไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งและเขาพูดตัดเธอขึ้นมาก่อนที่เธอจะได้เปล่งเสียงต่อ
"ฉันอนุญาติให้เธอพูด"
"...ลูกของฉันยังแค่สามขวบเองจะให้ฉันจะขอรออยู่ที่นี่เพื่อรอเขาค่ะ..."
"ปกติฉันก็ไม่ได้สนใจพวกที่ไม่คิดจะพยายามหนีอย่างเธอหรอกนะแต่รอบนี้มันต่างออกไป มันก็มีโอกาสเป็นไปได้นะว่าตอนนี้ลูกของเธออาจจะถูกช่วยเหลือโดยทีมอื่น ถ้าหากอยากอยู่ที่นี่อยู่ฉันก็จะไม่ห้าม เด็กที่ขาดแม่น่ะมันอยู่ด้วยแต่เองได้อยู่แล้ว แล้วตอนนี้ฉันก็ยังไม่เห็นใครในนี้กำลังดูแลพวกเด็กเลยด้วยสิ"
เบรนพูดออกมาอย่างเยือกเย็นจนทำให้คนอื่นรู้สึกท้อแท้
"ฉันจะพูดอีกทีนะ ถ้าหากนายยังอยู่ที่นี่สุดท้ายต้องถูกปีศาจพวกนั้นเอาตัวไปแน่ หากพวกนายยังต้องการอยู่ที่นี่ต่อฉันก็จะไม่ห้าม ถึงอย่างงั้นพอพวกนายออกไปแล้วก็อาจจะถูกพวกปีศาจฆ่าตอนกำลังหนีก็ได้"
ไคล์มจะต้องรีบเข้ามาหยุดเบรนก็ก่อนที่เขาจะพูดไปมากกว่านี้เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ
"แต่พวกเราจะปกป้องทุกท่านระหว่างหนีเองครับ"
"ฉันก็ไม่ชอบเรื่องยุ่งยากหรอกนะ แต่ที่ฉันทำเป็นเพราะฉันคืออัศวินของเจ้าหญิงเรนเนอร์ดังนั้นจะปกป้องพวกนายเท่าที่ทำได้ เราจะเริ่มไปกันอีกไม่กี่นาทีนี้ จะอยู่ที่นี่หรือจะออกไปเลือกกันเอง จะปรึกษาทางเลือกกันเองก็ได้นั่นเป็นสิทของพวกนายเอาตามที่ชอบเลย"
ไม่มีการปรึกษาใดๆเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวว่าคนที่อยู่ข้างๆอาจจะเป็นปีศาจแต่พวกเขาเริ่มเห็นความหวังกันว่าครอบครัวของพวกเขาอาจจะได้รับการช่วยเหลือโดยกลุ่มอื่นและจากนั้นก็จะกลับมารวมตัวกัน
มันไม่มีทีมอื่นอยู่หรอก พวกเราจะได้ไปเช็คคลังสินค้าหลายที่แล้ว ก็มีเพียงที่นี่แหละที่ยังมีคนอยู่
เบรนตัดใจจะไม่คิดมากในเรื่องนี้ไป และจับดาบขึ้นมาแล้วจ้องไปรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครทำเสียงดังมากเกินไป ไคล์มเดินมาหาเขาแล้วพูดออกมาเบาๆ
"ขอบคุณมากครับ เบรน-ซัง ถ้าเป็นผมผมคงทำแบบคุณไม่ได้แน่"
"ไม่ต้องใส่ใจหรอก ทั้งหมดก็เพราะนายเป็นตัวแทนของเจ้าหญิงเรนเนอร์หนิ แต่สำหรับฉันที่เป็นทหารรับจ้างคงไม่มีปัญหาอะไรตามมาทีหลังหรอก คิดแค่ว่าฉันเป็นแส้ไว้ใช้ตีคนพวกนี้แล้วกัน"
"ถึงจะอย่างงั้นผมก็รู้สึกขอบคุณอยู่ดีครับ"
"มันจะลำบากเอานะถ้ายังวนกันไปมาอย่างนี้ เข้าใจละ ฉันยอมรับคำขอบคุณ หืม? มันกลับมาแล้วเหรอ"
หัวขโมยได้เข้ามาในสายตาของเขา เขาได้รับหน้าที่ได้ดูแลและสำรวจข้างนอก แต่ที่กลับเข้ามาโดยไม่รีบร้อนแบบนี้ก็หมายความว่าไม่น่าจะมีเหตุอันตรายอะไร
"เป็นไงบ้าง?"
"เอ่อ คือ อัลกราส-ซัง พวกปีศาจดูเหมือนจะยังมาไม่ถึงกัน แต่ก็เหมือนกับที่คุณพูดคงจะขึ้นอยู่กับเวลานั่นแหละครับ"
"ก็คงจะอย่างงั้น นี่เป็นงานสุดท้ายของเราแล้ว นายตรวจสอบรอบนอกเรียบร้อยแล้วใช่ไหม? ไอแผ่นดินไหวเมื่อกี้มันอะไรกัน?"
"ผมก็ไม่รู้นะครับ บางที่อาจจะเป็นเพราะดินแนวนี้เกิดยุบหรือพวกปีศาจมันคลานขึ้นมาจากใต้ดินกัน?"
"อย่าพูดอะไรหมาหมาอย่างนั้นสิครับ นั่นมันสถานการณ์เลวร้ายสุดๆเลยนะครับ..."
"โทษที โทษที ไคล์ม-คุง"
"ถ้างั้นไปกันเลยไหม"
ก่อนที่เบรนจะส่งสัญญาณให้กับผู้คนรอบๆก็ได้มีเสียงอะไรบางอย่างหล่นลงมาจากด้านนอกคลังสินค้า
ภายในคลังสินค้านั้นได้เงียบลงไปทันที หัวขโมยได้เดินเข้าไปที่ประตูอย่างระมัดระวังก่อนจะเริ่มตรวจสอบด้านนอก มือของเขาเริ่มส่งเป็นสัญญาณออกมาเป็นรูปสามเหลี่ยมนั่นมีความหมายว่า"ปีศาจ". ตามมาด้วยสัญญาณที่ว่า "แข็งแกร่ง".
ไคล์มและเบรนได้เปลี่ยนท่าทางจากเดิมและเดินเข้าไปหาหัวขโมยอย่างเงียบๆ
พวกเขาเห็นปีศาจด้านนอกลักษณะของมันต่างจากที่เขาเคยพบมาก่อนมันให้ความรู้สึกเหมือนแข็งแกร่งอย่างมาก
ร่างของมันสูงเกือบสามเมตรและมีปีกค้างคาวงอกออกมาด้านหลัง กะโหลกเป็นแพะและมือของมันถือค้อนขนาดใหญ่อยู่
ปีศาจตนนั้นได้หันหน้ามาทางคลังสินค้า ไคล์มและปาร์ตี้ของเขารู้สึกได้ถึงสายตาของมันที่จ้องมองมาที่พวกเขา มันมีเวทย์ตรวจจับเหรอ? มันทำท่าเหมือนกับรอให้พวกเขาแสดงตัวออกมา
"มันดูแข็งแกร่งมาก..."
"ไม่มีข้อสงสัยเลยครับ"
เบรนบ่นพึมพัมออกมาก่อนหัวขโมยจะตอบกลับ และไคล์มก็พยักหน้าเหมือนเห็นด้วย
ไคล์มหันไปมองเบรนเงียบๆ เขาโกรธเบรนตอนที่เข้าไปเผชิญหน้ากับแชลเทียร์ หากเป็นตอนนี้เบรนสั่งให้เขาหนีไป เขาก็พร้อมที่จะทำตามด้วยความเต็มใจแน่นอน
"...ไคล์มช่วยต่อสู้เคียงข้างฉันด้วยนะ"
"ครับ!"
ไคล์มตอบออกมาด้วยเสียงนุ่มๆที่ดูจริงจัง
"ดูเหมือนมันจะเป็นอะไรซักอย่างนะครับ?"
"ดูจากท่าทางของมันแล้วเหมือนมันพึ่งจะถอยออกมาจากการต่อสู้ ดูร่างมันสิมีแต่แผลฉกัน ฉันก็ไม่คิดหรอกนะว่าจะมีโอก่าสชนะมัน แต่ถ้าเป็นตอนนี้เราบุกเขาไปพร้อมๆกัน เราอาจจะจัดการมันได้ในการโจมตีครั้งเดียวก็ได้"
“ฝากด้วยนะ” เบรนพูดพร้อมกับตบมือของเขาไปที่ไหล่ไคล์ม
ไคล์มพยักหน้าอย่างจริงจังก่อนที่จะเปิดใช้งานแหวนของเขา นี่คือแหวนที่ทำมาจาก ดราก้อน ลอร์ทแห่งสายลม ซึ่งมีความสามารถที่ทำให้ความแข็งแกร่งของนักรบเพิ่มขึ้นชั่วคราว หากเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักรอย่างกาเซฟ สโตรนอฟเป็นผู้ใช้เขาจะก้าวเข้าไปสู้ระดับวีรชนทันที แต่กับไคล์มยังไม่ถึงขั้นนั้น เขาเพียงสามารถใช้ศิลปะการต่อสู้「Limit Breaker— Mind ถึงพลังนี้จะยังเป็นรองเบรนก็ตามแต่ก็ยังอยู่ในระดับมิสทรีได้เลยทีเดียว
"เอาละ ลุยกันเลย"
เบรนที่กำลังจะเป็นผู้นำในการเปิด ได้ถูกหยุดไว้โดยหัวขโมย
"อัลกราส-ซัง—"
"เรียกฉันว่าเบรนไม่ดีกว่าเหรอ? นายแก่กว่าฉันอีกนะ เรียกด้วย -ซัง มันทำให้รู้สึกอึดอัดน่ะ."
"...ถ้างั้นเบรนจะให้ผมทำอะไรล่ะ?"
"อยู่ที่นี่ซะ, ล็อคเมเยอร์ ไอเจ้าตัวนั้นบางที่มันอาจจะแค่ล่อพวกเราก็ได้"
"...แล้วผมจะเข้าไปช่วยเองหากนายตกอยู่ในอันตราย"
"ถ้างั้นฉันฝากด้วยนะ ไคล์มคุง ถึงแม้ว่านายจะรู้อยู่แล้วก็เถุอะ.....อย่าเป็นอะไรไปซะล่ะ"
"ครับผม!"
♦ ♦ ♦
เดือน 9 วันที่ 5 เวลา 04:03
"อั๊ค!"
อีวิลอายกระอักออกมาหลักถูกโจมตีเข้าที่หน้าท้อง เธอรู้สึกเจ็บปวดมากและนั่นก็หมายความว่าประสาทสัมผัสหรือความรู้สึกเมื่อตอนที่เธอยังเป็นมนุษย์นั้นยังไม่ได้หายไปจนหมด เมื่อโดนโจมตีแบบนี้แน่นอนว่าจะต้องรู้สึกถึงมันได้
หน้าต่างรอบๆได้รับแรงกระแทกและแตกออกมาหลักจากที่อีวิลอายถูกหมัดของอัลฟา
แรงระเบิดของอากาศได้อัดอีวิลอายกระเด็นออกไป
การต่อสู้ในครั้งนี้อีวิลอายไม่สามารถใช้กลยุทธในการเปลี่ยนความเสียหายทางกายภาพไปลงที่มานาได้แล้ว เพราะุทำเช่นนั้นมานาของเธอคงไม่เหลือไว้ใช้เลยแน่นอน นั่นหมายความว่าการปะทะแต่ละครั้งเธอต้องแลกทั้ง HP และ MP ตลอดเวลา
ร่างกายที่เต็มไปด้วยโคลนของเธอถูกยกให้ลอยขึ้นมาด้วยสกิล [Flight]
ในจังหวะนั้นเองอีวิลอายก็ได้เห็นนาเบะที่ถูกโจมตีจนลอยออกมา
ท่าทางของเธอที่ถูกโจมตีจนลอยขึ้นมามันสวยไปหน่อยไหมนะ อีวิลอายได้บินเข้าไปหาเธอ ศัตรูไม่ได้ตามมา— หรือพวกมันจะรอรวมกลุ่มกันแล้วค่อยเข้ามาฆ่าพวกเราทีหลัง?
"โอ้ เธอเองเหรอ"
อีวิลอายกะไว้ว่าจะเข้าไปช่วยนาเบะที่กำลังจะตกลงสู่พื้น แต่เธอกลับยืนขึ้นมาทันทีและพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
แม้ว่าร่างกายของเธอจะเต็มไปด้วยบาดแผลที่เธอได้รับมาจากการต่อสู้ที่ต้องแลกด้วยชีวิตอย่าง แน่นอน แต่บางสิ่งที่ออกมาจากตัวเธอนั้นมันรู้สึกแปลกๆ เธอไม่รู้สึกถึงความกลัวตาจะตายหรืออะไรทำนองนั้นเลย บางทีเธอคงจะเชื่อใจโมม่อนว่าจะต้องโค่นจัลดาเบาท์ก่อนที่เธอจะตาย
ฉันคิดมากไปหรือเปล่านะ อีวิลอายคิด
"เธอยังสู้ไหวไหม?"
"แน่นอนไม่มีปัญหา"
ช่างเป็นคำถามที่โง่เง่าจริงๆ
จะพูดได้ไหมว่า... ผู้หญิงที่มีความสามารถเกินมนุษย์คนนี้จะเป็นลูกหลานของ [God-kin] ด้วยเช่นกัน?
ร่ายกายของเธอมีรอยแผลสารพัดจุดและเสื้อผ้าก็ถูกย้อมไปด้วยสีเลือด แต่กลับไม่มีแผลที่สาหัสเลย นั่นคือเท่าที่เธอเห็น สำหรับอีวิลอายนั้นยังได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่าเลย
เมื่อเทียบแล้วกับอีวิลอายที่ต้องรับมือสองคนกับเธอที่ต้องรับมือถึงสาม... แม้จะไม่ค่อยอยากยอมรับนักแต่อีวิลอายก็ต้องยอมว่านาเบะนั้นแข็งแกร่งกว่าเธอ
"เธอดูนิ่งๆดีนะ"
"ก็ไม่เชิง"
อีวิลอายหัวเราะให้กับคำตอบของนาเบะ
แม้ว่าจะมีหน้ากากปกคลุมหน้าของอีวิลอายเอาไว้แต่นาเบะก็ยังคงรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงและประหลาดใจบนใบหน้าเธอได้
"ไม่ พอดีฉันไม่คิดว่าจะได้คำตอบแบบนั้นจากเธอน่ะ"
"...งั้นเหรอ. แล้วเราจะทำยังไงกันต่อ?"
"เราจะทำอะไรได้ล่ะ?วิธีที่เราจะเข้าไปสู้กับพวกศัตรูล่ะ?"
อีวิลอายหันกลับไปมองศัตรูทั้งห้าคนนั้น นอกเหนือจากเมดแมลงที่ส่งเจตนาฆ่ามาทิ่มแทงเธอเหมือนหอกคนอื่นก็ไม่ได้แผ่รังสีความเป็นศัตรูแต่อย่างใด แต่จากมุมมองของเธอ เธอคิดว่าพวกเขาคนจะมั่นใจมากแน่ๆว่าจะฆ่าพวกเธอทั้งสองได้ง่ายๆ
"ศัตรูของเรามีมากเกินไป"
"จากจุดนี้เราคงไม่ค่อยเหลือตัวเลือกมากเท่าไหร่ ถึงเราจะมีโอกาสที่จะชนะก็จริง แต่กับศัตรูที่มีเลเวลเท่ากันกับเราและมีมากกว่าเราแบบนี้ยังไงพวกเราก็เสียเปรียบอยู่ดี"
"ถ้าเราวิ่งล่ะเป็นไง? หากเราพยายามหนีไปรอบๆแถวนี้ พวกเธออาจจะไม่ตามมาก็ได้"
"ุ้ถ้าเธอจะทำแบบนั้นจริงๆก็เชิญ ฉันจะคุ้มกันข้างหลังให้เอง"
นาเบะได้แสดงสีหน้าความไม่พอใจออกมา แม้ว่าเธอจะทำหน้าตาหน้ากลัวแบบนั้นแล้วความงดงามบนใบหน้าของเธอกลับไปจางหายไปเลย
ทันใดนั้นเองก็มีคนๆหนึ่งถูกอากาศพัดมาชนอาคารจนทรุดตัวลง เขากลิ้งกระแทกไปมากับพื้นไม้หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งเขาได้ใช้ส้นเท้าหยุดเอาไว้ได้
อีวิลอายนั้นไม่จำเป็นต้องหายใจ แต่จังหวะนี้ก็ทำให้เธอลืมหายใจไปเลย
เมื่อกี้เธอคิดว่าคนที่กระเด็นมานั้นคือโมม่อน แต่มันกลับไม่ใช่เพราะมันคือจัลดาเบาท์
เธอเห็นจัลดาเบาท์ยืนขึ้นมาบนเท้าอันมั่นคง เธอเริ่มสู้สึกตื่นเต้น มันเห็นได้ชัดเลยว่าเขาได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังถูกดีดกระเด็นมาไกลซะขนาดนี้
ทัศนวิสัยของอีวิลอายได้เห็นนักรบคนหนึ่งยืนอยู่ที่จากจุดที่จัลดาเบาท์กระเด็นมา
ชุดเกราะสีดำนั้นได้รับความเสียหายอย่างหนัก นั่นเป็นเครื่องหมายชัดเจนเลยว่าพวกเขาได้ต่อสู้กันรุนแรงถึงเพียงใด แต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีโอนเอนออกมาเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นการแสดงถึงความเหนือชั้นระหว่างโมม่อนกับจัลดาเบาท์ที่อยู่เพียงใต้เท้าของเขา
ร่างกายของอีวิลอายเต็มไปด้วยความสุขและเธอได้กำหมัดของเธอไว้แน่น
โมม่อนค่อยๆลดดาบของเขาลงช้าๆและพูดกับจัลดาเบาท์ขึ้นมา
"ช่างรู้สึกหรรษาจริงๆ จะทำยังไงดี... กับความรู้สึกนี้ ฉันรู้สึกได้เลยว่าตั้งแต่ต่อสู้กับแกมา ก็รู้สึกได้ถึงตัวจนที่แท้จริงของตัวเอง หรือนี่สินะที่มันเรียกกันว่าความรู้สึกของพวกแนวหน้า... ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันได้โค่นศัตรูด้วยพลังที่มีอย่างมหาศาลในการโจมตีไม่กี่ครั้ง มันไม่ได้รู้สึกถึงอะไรเลย แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกได้เลยถึงความบ้าคลั่งที่เอ่อล้นออกมานี้ ดังนั้นตอนนี้ขอให้งัดทุกอย่างที่แกมีออกมาใช้จะเป็นปัญหาไหม?"
บอกให้ฝ่ายตรงข้ามใช้พลังทัั้งหมดที่มีมันเหมือนการขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ พอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีวิลอายก็ส่ายหัว บางทีนี่คงจะเป็นความปรารถณาที่แท้จริงของโมม่อน
ชายที่แข็งแกร่งเช่นโมม่อนนั้นคงไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้ทำอะไรแบบนี้เลย ส่วนใหญ่ศัตรูของเขาก็คงจะถูกฆ่าก่อนที่เขาจะได้เอาจริงด้วยซ้ำ หากมีใครที่เหมือนกับเขา เขาก็คงจะมีความสุขที่ได้เผชิญกับศัตรูที่เขาต้องใช้พลังทั้งหมดของเขาเข้าสู้
"ถ้าเช่นนั้นก็กรุณาให้ผมได้ทำเช่นนั้นนะครับ"
จัลดาเบาท์อาจจะเข้าใจว่ามันเป็นการดูถูกและเพื่อเป็นการย้อนสวนจึงพูดกลับมาด้วยการเสียดสีอย่างสุภาพ
ขณะที่เธอได้เฝ้าดูเขา อีวิลอายก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจกับการที่เธอเข้าใจแล้วว่าโมม่อนนั้นแข็งแกร่งกว่าจัลดาเบาท์
"ถ้างั้นผมจะเริ่มเอาจริงแล้วนะครับ"
"จัดมาเลยจัลดาเบาท์"
คำพูดเหล่านั้นเหมือนเป็นสัญญาณยกที่สองในการปะทะกันกลางพล่าซ่าของพวกเขา
การพูดคุยของพวกเขาช่างเหมือนตอนที่อีวิลอายได้พบกับโมม่อนเป็นครั้งแรก เขาได้โจมตีด้วยความเร็วสูงติดต่อกันเป็นชุดๆแต่ก็ถูกกรงเล็บนั้นปัดออกไปได้หมด เนื่องจากมันสามารถปัดป้องการโจมตีของดาบขนาดยักษ์ได้ความแข็งแกร่งของกรงเล็บนั้นคงต้องการความเข้าใจของมนุษย์ที่จะรับได้
โมม่อนกระโจนกลับไปที่พื้นและกระโดดขึ้นไป แรงในการกระโดดของเขานั้นทำให้เธอคิดถึงขั้นว่าเขากำลังใช้เวทย์ [Flight] อยู่หรือเปล่า จังหวะนั้นเขาได้ใช้ดาบมาบล็อกการโจมตีที่ลอยมา ก่อนที่เธอจะเห็นเขาดึงหอกออกมาจากความว่างเปล่าด้วยตาของเธอ
มันเป็นหอกสีแดงเข้มมีจุดเหมือนพายุไฟที่กำลังไหม้อยู่ โมม่อนโยนมันไปที่จัลดาเบาท์ ด้วยความเร็ว เธอได้เห็ยเส้นสีแดงเข้มปล่อยออกมาตามทางของหอกที่มุ่งไปยังจัลดาเบาท์
"「Aspect of the Demon: Hellfire Mantle」."
หอกถูกตรึงเอาไว้ เปลวไฟคำรามเป็นประกายออกมาจากพื้นดินและคลื่นขนาดใหญ่ก็พวยพุ่งออกมาจากจัลดาเบาท์
“ห๊ะ!”
เพื่อไม่ให้ถูกคลื่นพายุขนาดยักษ์พัดไป อีวิลอายได้หมอบลงและพยายามต้านมันไว้ โชคดีที่เธอสวมหน้ากากจึงยังสามารถลืมตาท่ามกลางพายุนี้ได้
มองไปข้างหน้าเธอเห็นโมม่อนยกดาบของเขาขึ้นมาและฟาดมันลงไปราวกับกำลังจะแยกอากาศออกเป็นสองเสี่ยงก่อนจะเข้าไปโจมตีจัลดาเบาท์อีกครั้ง
จัลดาเบาท์ได้เตรียมรับการโจมตีอีกครั้ง ร่างกายเขาของเขาปกคลุมไปด้วยไฟที่ใช้ป้องกันหอกเมื่อครู่นี้
โมม่อนได้เหวี่ยงดาบลงไป ก่อนที่จัลดาเบาท์จะรับมันไว้ด้วยสองมือ ควันเริ่มออกมามากขึ้นจาากฝ่ามือของเขาและโลหะระหว่างนิ้วมือของเขาก็เริ่มละลายลงไป
“แกมีความสามารถละลายอาวุธได้เหรอนี่… ช่างเป็นความสามารถที่น่ากลัวจริงๆ”
เพราะมันเป็นดาบที่โมม่อนนั้นรัก และดาบของนักผจญภัยระดับสูงนั้นต้องทำมาจากวัสดุที่สุดยอดอย่างแน่นอน
แต่นั้นก็ไม่สำคัญอะไร ที่สำคัญคือจัลดาเบาท์มีความสามารถในการพ่นเปลวไฟที่ละลายได้กระทั่งเหล็กและโมม่อนที่ยังยืนคุยอย่างสบายๆกับเขาแม้จะอยู่ใกล้เปลวไฟที่ร้อนขนาดนั้น
“―ทั้งสองอย่างนี้มันไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”
อีวิลอายรู้สึกกลัว เธอรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาทั้งสองนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ร่างกายของเธอก็ยังคงสั่นกลัวอย่างบ้าคลั่งอยู่ดี
“จากที่การสันนิษฐาน คิดว่าเปลวไฟพวกนี้น่าจะเกิดมาจากความสามารถพิเศษ”
เมื่อสังเกตุไปที่เปลวไฟที่ปกคลุมรอบๆตัวจัลดาเบาท์นั้นมันเป็นสีดำ
“เฮลไฟล์ งั้นเหรอ?!”
“แม้จะมีความสามารถในการป้องกันไฟก็เถอะ แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนั้นต่อไปจะไม่เป็นไรเหรอ?”
นี่เป็นครั้งแรกในการต่อสู้ที่โมม่อนถอยกลับและจัลดาเบาท์ไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น
ในตอนนี้จัลดาเบาท์ได้เป็นฝ่ายเข้ามาบุกมากขึ้นเปลวไฟที่อาจจะฆ่ามนุษย์ได้ทันที แต่โมม่อนปัดมันทั้งหมดด้วยดาบขนาดยักษ์ของเขา
ในขณะที่ต่อสู้ไปเรื่อยๆนั้นเกราะของเขาก็เริ่มละลายและเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาได้ดึกเอาอาวุธแปลกๆออกมาจากความว่างเปล่า
"「Frost Pain Modified— Icy Burst」!"
คลื่นความหนาวเย็นพุ่งออกมาจากอาวุธและลดอุณหภูมิโดยรอบลงทันที ความเย็นของมันนั้นสามารถตรึงไฟนรกที่แผดเผาออกมาของจัลดาเบาท์ที่ร้อนกว้าปกติได้
จัลดาเบาท์แสดงอาการตกใจและเสียงนั้นก็มาถึงหูของอีวิลอาย
“เมื่อกี้มันคืออะไร? เหมือนหอกเมื่อตอนนั้นเลย”
“ฉันไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้ แต่สิ่งนี้คืออาวุธธาตุแม้ว่าตอนแรกจะเป็นแค่ของก็อปทดลองจาก [Frost Pain]...แต่นับว่าโชคดีมากที่ปรากฎว่ามันมีประสิทธิภาพมากกว่าของจริง ที่จริงมันยังมีความสามารถพิเศษที่ทำให้ฉันสามารถใช้เวทย์ระดับสูงได้สามครั้งต่อวัน แต่ฉันไม่มีอะไรแบบนั้นนี่สิ ดังนั้นความสามารถนี้คงจะทำอะไรแกไม่ได้”
บทสนทนาของทั้งคู่ดูแปลกๆ
ทั้งที่ทั้งสองควรจะสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย แต่อารมณ์ความรู้สึกมันเหมือนพวกเขาพยายามยืนยันความแข็งแกร่งให้กันและกันแบบง่ายและดูผ่อนคลาย
อีวิลอายจำบางอย่างได้ กากาแรนเคยพูดเอาไว้ เมื่อนักรบได้วางชีวิตของพวกเขาไว้บนเส้นแห่งความเป็นตาย บางครั้งพวกเขาก็สามารถที่จะเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายและมันจะสร้างเรื่องราวต่างๆระหว่างพวกเขาขึ้นมาเหมือนกับทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาเป็นเวลานาน
ในตอนนั้นเธอเคยสงสัยเกี่ยวกับคำพูดนั้น แต่ตอนนี้―
"บางที่ฉันอาจจะมาถึงจุดๆนี้แล้วสิ"
อีวิลอายเริ่มรู้สึกอิจฉาในความใกล้ชิดของพวกเขา
ชายผู้สวมชุดเกราะดำได้สูญเสียความเงางามของผิวเกราะไปจนสิ้นจากการละลายและปีศาจที่ใส่ชุดทักซิโด้ถูกหั่นโดยปลายดาบนับไม่ถ้วน
พวกเขาทั้งสองได้ติดต่อกันเข้าไปในนั้นเกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ช่างเหมือนกับเพื่อนเก่าของอีวิลอาย
"คุณช่างมีพละกำลังที่เหนือชั้นจริงๆ"
"แกก็เหมือนกันนั่นแหละจัลดาเบาท์."
"ถ้าอย่างงั้นผมมีข้อเสนอให้สนใจหรือไม่ครับ?"
โมม่อนยกคางขึ้นมาก่อนที่จัลดาเบาท์จะพูดต่อไป
"ถ้าหากผมยอมแพ้และยกชัยชนะให้เป็นของคุณบางที่เราน่าจะกลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ได้? หรือหากมากกว่านั้น ผมก็จะถอนตัวออกจากที่นี่ และหวังว่าคุณจะไม่พยายามตามหาผมอีก"
"นี่แกล้อฉันเล่นหรือเปล่า!"
อีวิลอายร้องออกมาเหมือนได้รับความรู้สึกที่รุนแรงผลักดัน สำหรับคนที่สร้างความวุ่นวายและความตายให้กับเมืองหลวงเนี่ยนะจะมาวิงวอนขอความเมตตาและการให้อภัย บอกสั้นๆเลยว่าเป็นอะไรที่ไร้ยางอายมาก
แต่ถึงเช่นนั้นก็มีเสียงตอบรับจัลดาเบาท์ออกมาอย่างสงบ
"จะเอาแบบนั้นก็ได้"
ภายใต้หน้ากากอีวิลอายได้จ้องไปที่ตาของโมม่อนเธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาที่อยู่ในจุดที่เหนือกว่าถึงได้ยอมรับเงื่อนไขนี้กัน
อีวิลอายเริ่มสับสน,เดมิเอิร์จยักไหล่ของเขาออกมา เธอรู้สึกเกลียดเขามากเท่าที่จะเกลียดได้แต่ท่าทางของเขาก็ดูดีมากเช่นกัน
"จะเข้ามาขวางงั้นเหรอนี่เธอไม่ได้เข้าใจเลยงั้นเหรอว่าทำไมโมม่อนซังถึงยอมรับข้อเสนอของผมกัน "
อีวิลอายหันไปก่อนจัลดาเบาท์จะพูดต่อ
"โมม่อนซังได้รับคำสั่งให้มาสู้กับผมที่โดยมีคนอื่นๆและเพื่อนของคุณมาช่วยในการจัดการปีศาจตัวอืนใช่ไหม? แล้วคุณคิดจริงๆหรือว่าพวกเขาจะมีกำลังพอจะจัดการกับปีศาจที่บุกรุกเข้ามานี้ได้ทั้งหมด?"
อีวิลอายรู้สึกราวกับว่ามีน้ำแข็งมาเสียงเข้าที่กระดูกสันหลังเธอ
"กองทัพปีศาจยังคงพร้อมโจมตีเมืองหลวงเสมอ."
นั่นคือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
แม้ว่ามาร์ควิส รี่เว่นจะตรวจสอบภายในด้วยทหารของพวกเขาทั้งหมด แต่เธอก็ไม่เชื่อเลยว่าเขาจะสามารถจัดการกับปีศาจของจัลดาเบาท์ได้ทั้งหมด และข้อสรุปที่คล้ายๆกันปีศาจอาจจะเริ่มใช้ตัวประกันจากทั่วเมือง
แต่ถ้าพวกเขาโค่นจัลดาเบาท์ลงตรงนี้—
"ถ้าหากคุณฆ่าผมแล้วคิดว่าพวกมันจะหายไปงั้นเหรอ?แต่ผมได้สั่งการสุดท้ายไปยังพวกเขาเรียบร้อยแล้วเมืองจะกลายเป็นนรกทันที ถึงตัวเลขของพวกมันจะลดลงไปบ้าง... แต่คุณคิดว่าจะใช้เวลาในการฆ่าพวกมันทั้งหมดได้งั้นเหรอ?"
"แต่ถึงอย่างงั้นเราจะรู้ได้ยังไงว่าแกจะรักษาสัญญา?"
ถ้าหากจัลดาเบาท์ยังคงสู้กับโมม่อน เขาคงไม่มีโอกาสชนะแน่นอนงั้นทำไมไม่สั่งให้ถอนกำลังทั้งหมดและค่อยหนีตามไป? ไม่งั้น— หากเขาตาย ทำไมเขาุถึงไม่ไปหาคนอื่นมาแทนเขาหรืออะไรทำนองนั้นกันล่ะ
ยังไงก็ตามตอนนี้ในเมืองหลวงก็มีตัวประกันอยู่มากเกินไปจะทำอะไรก็ไม่ค่อยได้
ช่างเป็นข้อเสนอที่น่ากลัวและมีไหวพริบอย่างแท้จริง
เข้าใจแล้ว อีวิลอายเริ่มเข้าใจความคิดโมม่อนมากยิ่งขึ้น เขาต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้กับข้อเสนอของจัลดาเบาท์ เพราะเขาเห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อันที่จริงเขาไม่มีทางเลือกอื่นเลยมากกว่า
"ถ้าอย่างงั้นในเมื่อคนนอกก็ยอมรับข้อเสนอนี้ ผมก็จะขอเริ่มทำการถอนตัวถึงแม้มันจะเป็นความอัปยศที่ทำเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่สำเร็จ ผมหวังว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีก"
"เช่นเดียวกันจัลดาเบาท์"
จัลดาเบาท์ได้ยิ้มออกมาภายใต้หน้ากากก่อนจะรวมรวมสาวๆที่อยู่รอบๆแล้วหายตัวไปผ่าน [Greater Teleport]
"พวกมันไปกันแล้ว..."
อีวิลอายมองขึ้นไปบนฟ้า กำแพงไฟนั้นได้หายไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากสีสันของเส้นขอบฟ้ายามค่ำคืน
ท้องฟ้าถูกวาดด้วยความวุ่นวาย อะไรคือสิ่งที่พวกเขาได้รับจากการเสียสละวันนี้กัน?
เป็นความจริงที่ว่าจัลดาเบาท์แข็งแกร่งยิ่งกว่าเทพปีศาจอย่างมากและมันก็รู้จักโมม่อนที่เป็นสุดยอดนักรบแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหากเรื่องของทั้งสองถูกเผยออกไป และโลกจะเปลี่ยนไปเช่นไรหลังจากนี้?
อีวิลอายได้ส่ายหัวกระจายความคิดพวกนี้ออกไปผสมลงในกองของในหัวเธอ เธอจะพิจารณาเรื่องพวกนี้อย่างช้าๆในอนาคต
มีบางอย่างที่สำคัญกว่านั้น อีวิลอายลงมาสู่พื้นดินและเปิดอ้อมแขนของเธอออก
"อุว๊าาาาาา!"
ด้วยเสียงร้องนั้นอีวิลอายได้เริ่มบุกทันที แม้ระยะเวลาสกิล[Flight] ของเธอจะยังไม่หมดผลแต่สถานการณ์ตอนนี้ต้องทำให้เป็นเช่นนั้นแล้ว
อีวิลอายวิ่งไปหาโมม่อน ด้วยความตกใจโมม่อนจึงได้ยืนนิ่งพร้อมกับดาบของเขา อีวิลอายกระโจนผ่านอากาศ หลักจากได้สัมผัสความรู้สึกของเธอก็เหมือนกับชนเข้ากับผนัง แต่เนื่องด้วยสรีรวิทยาและความอดทนของเธอมันจึงไม่เป็นอันตรายได้และ
และเธอก็ได้เข้ามากอดโมม่อนแล้ว
"คุณทำได้แล้ว! คุณชนะแล้ว! เป็นอย่างที่ท่านโมม่อนบอกเลย!
"ผม...เอ่อ... คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะขอพักซักหน่อย"
โมม่อนพูดกับอีวิลอายที่กอดเขาเหมือนโคอาล่าอย่างใจเย็น บางที่เขาอาจจะอายอยู่ก็ได้
ฉันชนะแล้วตราบใดที่ยังกอดเขาไว้อยู่
อีวิลได้นึกถึงเรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญจากอดีตขึ้นมาได้
ผู้ชายบางคนมักจะโชวสเน่ให้เพศตรงข้ามเห็นด้วยเลือดที่ไหลออกมาหลังการต่อสู้
และเธอหวังว่าโมม่อนจะเป็นชายแบบนั้นและได้เลือกเธอในตอนนี้
อีวิลอายเห็นนาเบะกำลังจ้องมองมาที่เธออยู่
ฉันชนะแล้วย่ะ
ถึงแม้อีวิลอายจะบดตัวของเธอเข้ากับโมม่อนที่เป็นเกราะทั้งหมดแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไร และถ้าเธอพยายามขยับมากไปมันก็จะกระทบกับแผลเธอด้วย
"อ่า... โทษทีนะ ช่วยถือดาบให้ฉันหน่อย"
เมื่อเธอรู้ว่าเธอเริ่มอ่อนแรงลงก็ได้ปล่อยตัวลงมาจากต้นไม้ซึ่งก็คือโมม่อนนั่นแหละ
อ้าจริงสิ เราควรจะเล็งหาโอกาสดีๆในครั้งหน้าอีก ตอนที่จัลดาเบาท์เห็นพลังของท่านโมม่อน เขาคงไม่มีทางที่จะทำอะไรได้อีกแล้วแน่ๆ ต่อให้การต่อสู้จะดำเนินต่อไปและมีคนที่... อ่ารู้สึกว่าเราจะใฝ่หาความปรารถนาแย่ๆเข้าแล้วสิ
การต่อสู้ในเมืองแห่งนี้จบลงแล้ว
แต่การต่อสู้ของเธอในฐานะผู้หญิงกำลังเริ่มขึ้น
ก่อนที่อีวิลอายจะได้ดำเนินแผนถัดไปก็มีเสียงที่ทำให้เธอต้องหันไป
เธอเห็นกลุ่มคนจำนวนมากทั่งนักผจญภัย ทหาร และ-
"นั่นหัวหน้าทหารใช่ไหม? กับทุกคนะด้วย?"
ข้างๆกาเซฟ สโตรนอฟ นั้นมีลัคคูสและทีน่า กากาแรนกับเทียร์ก็อยู่ด้วย. ทุกคนอยู่ที่นี่เป็นการกล่าวพิสูจได้เลยว่ามีการต่อสู้ที่ยากลำบากมากกว่าพวกเขาจะมาถึงที่นี่ได้ พวกเขาได้มองไปยังพื้นที่รอบๆผลพวกของการต่อสู้ที่รุนแรง และจากนั้นทุกคนก็มองไปที่โมม่อน
อีวิลอายรู้ถึงความหมายนั้นและกระซิบมาที่โมม่อน
"ท่านโมม่อนคะตะโกนเสียงแห่งชัยชนะของพวกเราออกไปเลยค่ะ"
แต่โมม่อนไม่ทำอย่างนั้น เช่นเดียวกันอีวิลอายก็เริ่มสงสัยก่อนจะได้ยินเสียงเบาๆของเขา
"เริ่มรู้สึกอายขึ้นมานิดหน่อยแล้วสิ"
ปฎิกิริยาอันเกินคาดของยอดนักรบทำให้อีวิลอายหัวเราะออกมาเสียงดัง
"...คิดว่านี่ไม่ใช่โอกาสที่ดีของพวกเราเหรอที่จะได้รับเกียรติ? อย่าปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปเอ้าทุกคน"
โมม่อนได้จับดาบของเข้าไว้แน่นและแรงผลักก็ดันเขาขึ้นสู่ท้องฟ้า
"โอ้วววววววววววววววววว"
ในเวลาต่อมาทุกคน ณ พลาซ่า ได้ยกหมัดของพวกเขาขึเนและตะโกนขึ้นไปบนฟ้าเพื่อเป็นการฉลองชัยชนะของพวกเขา เสียงที่ออกมาจากปากของทุกคนนั้นเป็นชื่อของโมม่อน วีรบุรุษผู้ช่วยเหลือประเทศแห่งนี้เอาไว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น